Page 62 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกับการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน
P. 62

บทที่ 2


               คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติกับการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน


                        ในความสัมพันธระหวางเอกชนดวยกันของไทยและตางประเทศ




                      ภายหลังจากการประกาศปฏิญญาสากลวาดวยสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1948 ซึ่งเปน

               ผลของการนําแนวความคิดในทางปรัชญาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยมาบัญญัติในเอกสารเพื่อใหเปนมาตรฐานสากล
               เดียวกัน นับแตนั้นเปนตนมา สิทธิของมนุษยไดทวีความสําคัญมากขึ้นตามลําดับ จนกลาวไดวาเปนหนาที่ของ

               ประเทศตาง ๆ ที่จะตองรวมมือกันหาทางคุมครองสิทธิมนุษยชนใหดีที่สุด พัฒนาการสูงสุดของความรวมมือกัน

               เพื่อคุมครองสิทธิมนุษยชนของประเทศตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในเวทีระดับโลกคือ การยกระดับความสําคัญของ
               สิทธิเอกชน (Individual Rights) ใหเปนสิทธิระหวางประเทศ (International Rights) ซึ่งหมายความวา ในกรณี

               ที่รัฐกระทําการใดอันเปนการละเมิดสิทธิของปจเจกบุคคลแลว ปจเจกบุคคลอาจเปนผูเสียหายตามกฎหมาย
               ระหวางประเทศและสามารถยื่นคํารองเรียนตอองคกรซึ่งทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชนระหวางประเทศได

               จะเห็นวาการกําหนดหลักเกณฑใหปจเจกชนในฐานะผูเสียหายสามารถยื่นคํารองขอตอศาลไดนั้น ถือเปนขอยกเวน

               ของหลักทั่วไปในกฎหมายระหวางประเทศที่กําหนดวารัฐและองคการระหวางประเทศเทานั้นที่เปนผูทรงสิทธิ
               ตามกฎหมายระหวางประเทศ สวนสิทธิ หนาที่และความรับผิดของบุคคลธรรมดาในทางระหวางประเทศนั้น

               จะแสดงออกโดยผานรัฐซึ่งเปนเจาของสัญชาติของบุคคลดังกลาว นอกจากนี้ การกระทําละเมิดของรัฐดังกลาว
                                                                     94
               อาจถือเปนการกระทบกระเทือนสิทธิของรัฐอื่น ๆ และทําใหรัฐเหลานั้นมีสิทธิรวมมือกันดําเนินมาตรการที่เหมาะสม
               เพื่อยุติการกระทํานั้น ๆ ไดอีกดวย กลาวไดวา ปจจุบันกระแสเรื่องสิทธิมนุษยชนไดทวีความสําคัญมากยิ่งขึ้นจนนํา

               มาสูการกอตั้งสถาบันและองคกรตาง ๆ ทั้งในระดับระหวางประเทศและระดับภูมิภาคขึ้นเพื่อเปนกลไกสําคัญ

               ในการทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชนโดยมุงหมายใหการคุมครองสิทธิมนุษยชนมีผลในทางปฏิบัติไดอยางแทจริง
               และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในบทนี้ คณะผูศึกษาวิจัยไดแบงหัวขอการศึกษาออกเปน 3 ขอ ไดแก

                      (1)  บทบาทและอํานาจหนาที่ขององคกรที่ทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาค
                      (2)  บทบาทและอํานาจหนาที่ขององคกรที่ทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชนในระดับประเทศ และ

                      (3)  บทสรุปวิเคราะหเปรียบเทียบเกี่ยวกับขอบเขตอํานาจหนาที่ขององคกรที่ทําหนาที่คุมครอง

               สิทธิมนุษยชน ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

               2.1  บทบาทและอํานาจหนาที่ขององคกรที่ทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาค

                      2.1.1  บทบาทและอํานาจหนาที่ขององคกรที่ทําหนาที่คุมครองสิทธิมนุษยชนของสหภาพยุโรป

                             จุดเริ่มตนของระบบการคุมครองสิทธิมนุษยชนในแถบทวีปยุโรปสืบเนื่องจากรัฐตาง ๆ ในภูมิภาค
               ยุโรปเกิดความเกรงกลัวตอลัทธิคอมมิวนิสตที่กําลังคุกคามตอสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพทางการเมืองของ

               ประชาชน จึงมีความพยายามรวมมือกันในระดับภูมิภาค (regional) เพื่อกอตั้งองคการระหวางประเทศที่เรียกวา


               94  จุมพต สายสุนทร, กฎหมายระหวางประเทศเลม 1, พิมพครั้งที่ 7 (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพวิญูชน, 2550), น. 227.


                                                                                                               43
   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66   67