Page 283 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 283

281
                                                   ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
                                                   ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เล่ม ๑  ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗




                                   (๑)  เปิดเผยต่อทนายความของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ว่าความ

                     แทนในคดีใดคดีหนึ่งหรือได้รับมอบอำานาจทั่วไปให้กระทำาการแทนผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
                                   (๒)  เพื่อวัตถุประสงค์ในการเรียกเก็บหนี้ซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องชำาระให้

                     แก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
                                   (๓)  เปิดเผยแก่หน่วยงานที่มีหน้าที่รักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้เป็นประวัติศาสตร์

                                   (๔)  เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐร้องขอในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้น
                     เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศหรือกิจการระหว่างประเทศ

                                   (๕)  .........................................”
                                   เนื่องจากบางประการ เช่น ตาม (๑) และ (๒) อาจขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ

                     ที่กำาหนดเงื่อนไขว่าให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ

                                ๖.๒.๒ คณะรัฐมนตรี โดยสำานักนายกรัฐมนตรี (สำานักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร

                     ของราชการ) สำานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ควรทบทวนร่าง
                     พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... มาตรา ๔๐ วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่

                     ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเชิงธุรกิจหรือการพาณิชย์เลิกกิจการให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเชิงธุรกิจ
                     หรือการพาณิชย์แจ้งเป็นหนังสือให้สำานักงานทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เลิกกิจการ” โดยควร

                     แก้ไขเพิ่มเติมให้มีการแจ้ง หรือขึ้นทะเบียน หรือได้รับใบอนุญาตเมื่อก่อตั้งกิจการดังกล่าวด้วย

                                ๖.๒.๓  คณะรัฐมนตรี  โดยธนาคารแห่งประเทศไทย  กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ

                     และการสื่อสาร สำานักนายกรัฐมนตรี (สำานักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ) สำานักงาน
                     คณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ควรทบทวนบทลงโทษในพระราชบัญญัติ

                     การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๖๔ พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
                     พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๔๖ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... มาตรา ๕๒ ที่

                     กำาหนดให้กรณีนิติบุคคลกระทำาความผิด ให้กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ ผู้แทน/ผู้รับผิดชอบ
                     รับโทษด้วย เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าไม่ได้รู้เห็น ไม่ยินยอม หรือไม่มีส่วนร่วมในการกระทำาผิดดังกล่าว

                     เนื่องจากเป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
                     มาตรา ๓๙ วรรคสอง ที่ว่า “ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำาเลยไม่มีความผิด”


                                ๖.๒.๔ คณะรัฐมนตรี โดยสำานักนายกรัฐมนตรี (สำานักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร
                     ของราชการ) ธนาคารแห่งประเทศไทย  กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  สำานักงาน

                     คณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรทบทวนมาตรการลงโทษเกี่ยวกับการ
                     ละเมิดสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งอยู่ในกฎหมายต่างๆ ในเรื่องนี้ เช่น

                     พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการฯ ซึ่งมีโทษจำาคุกและปรับ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูล
                     ส่วนบุคคลฯ ซึ่งมีโทษปรับทางปกครองและโทษอาญา พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตฯ
   278   279   280   281   282   283   284   285   286   287   288