Page 278 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 278

276    ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
                  ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เล่ม ๑  ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗




                  ส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนซึ่งคือรายงานทางการแพทย์เกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาของตนเอง และเมื่อ

                  บุคคลนั้นประสงค์ที่จะรู้ถึงข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวก็ให้มีคำาขอเป็นหนังสือกับโรงพยาบาล ซึ่งเป็น
                  หน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสาร และหน่วยงานของรัฐ (โรงพยาบาล) จะต้องให้บุคคลนั้น

                  คือผู้รับบริการสาธารณสุขหรือผู้ป่วยหรือผู้กระทำาการแทนบุคคลนั้น อาทิ ทายาท หรือญาติของผู้ป่วย
                  เป็นต้น ได้ตรวจดู ได้รับสำาเนาข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลของผู้ป่วย

                                แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติขณะนี้คือการที่เจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์
                  ของรัฐหรือโรงพยาบาลรัฐ แปลความบทบัญญัติดังกล่าวโดยคลาดเคลื่อนและไม่เข้าใจเจตนารมณ์

                  ของกฎหมาย โดยแปลความเฉพาะตามมาตรา ๒๕ วรรคสองเท่านั้น มาบังคับใช้ในทางปฏิบัติโดย
                  แปลความเพียงว่า การเปิดเผยรายงานการแพทย์ทำาเฉพาะให้แก่แพทย์ได้เท่านั้นไม่รวมผู้ป่วยที่เป็น

                  เจ้าของข้อมูลหรือทายาทของผู้ป่วย โดยมิได้พิจารณาถึงหลักเกณฑ์ในมาตรา ๒๕ วรรคแรกประกอบ
                  ซึ่งเป็นหลักสิทธิพื้นฐานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และเป็นเรื่องประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยที่จะได้

                  นำาข้อมูลส่วนบุคคลของตนนั้นไปใช้ประโยชน์ของตนเอง
                                ดังนั้น การแปลความบทบัญญัติในวรรคสอง จึงควรอยู่ภายใต้บทบัญญัติของ

                  วรรคแรกโดยไม่จำาเป็นต้องแก้ไขบทบัญญัติในวรรคสอง แต่เป็นกรณีที่จะต้องทำาความเข้าใจแก่
                  เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ถึงหลักการดังกล่าว รวมทั้งให้นำาความเห็นของ

                  คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ หรือคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
                  มาเป็นแนวทางประกอบการในการทำาความเข้าใจและเผยแพร่หลักการดังกล่าว ให้ปฏิบัติเป็นจริง

                  ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
                                อย่างไรก็ตาม ทางปฏิบัติพบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจำานวนหนึ่งรู้สึกลังเลไม่กล้าตัดสินใจ

                  ให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่เจ้าของข้อมูลผู้รับบริการสาธารณสุขหรือผู้ป่วยหรือทายาทตามที่ร้องขอ
                  และมักจะขอให้บุคคลเหล่านั้นยื่นคำาร้องไปยังคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เจ้าของข้อมูล

                  หรือทายาทจะได้รับรายงานการแพทย์ของตนจากโรงพยาบาลของรัฐได้ โดยอาศัยช่องทางการขอให้
                  คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการหรือคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารพิจารณา

                  ซึ่งก็เป็นการพิจารณารายกรณี ไม่มีหลักเกณฑ์กลาง และมักใช้เวลายาวนานในการพิจารณา จึงเป็น
                  ภาระและอุปสรรคของผู้รับบริการสาธารณสุขหรือผู้ป่วยเจ้าของข้อมูลรวมทั้งทายาทและญาติของ

                  ผู้ป่วยนั้น
                                ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า การดำาเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการฯ

                  เป็นการกระทำาในทางปกครองซึ่งกฎหมายได้กำาหนดแนวทางกำากับการทำางานของหน่วยงานของรัฐ
                  และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่คือบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐหรือเป็น

                  เจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อมีการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำาหนดอันเกี่ยวกับ
                  พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการฯ บุคลากรทางการแพทย์เหล่านั้นก็ยังอยู่ในการควบคุมตาม

                  กฎหมายอื่นๆ เช่น กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง หรือกฎหมายทางปกครอง เช่น พระราชบัญญัติ
   273   274   275   276   277   278   279   280   281   282   283