Page 202 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 202
200 ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เล่ม ๑ ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
หลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงจะตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง แต่ในส่วนของศาลปกครองนั้น
หากพิจารณาเหตุผลและเจตนารมณ์ในการจัดตั้งศาลปกครองดังที่ปรากฏในหมายเหตุท้าย
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แล ้ว จะเห็นได้ว่า
เพื่อให้ศาลปกครองมีอำานาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับ
หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน
อันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมี
วิธีพิจารณาคดีของศาลปกครองเป็นการเฉพาะ เนื่องจากคู่ความในคดีปกครองมิได้มีสถานะที่
เท่าเทียมกัน โดยทั่วไปคู่ความฝ่ายเอกชนย่อมอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบคู่ความฝ่ายปกครอง ทั้งในแง่
บุคลากร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย และความสามารถในการเข้าถึงเอกสารหลักฐานหรือข้อมูล
ในความครอบครอบของฝ่ายปกครอง จำาต้องมีวิธีพิจารณาคดีที่เหมาะสมสามารถสร้างความสมดุล
ในความไม่เสมอภาคระหว่างคู่ความได้ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงได้กำาหนดให้วิธีพิจารณาคดีในศาลปกครองใช้ระบบไต่สวน โดยวิธีพิจารณาในระบบ
ไต่สวน ตุลาการศาลปกครองซึ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะจะมีบทบาทที่สำาคัญในการดำาเนิน
กระบวนพิจารณาและสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นแก่คู่ความทั้งสองฝ่าย โดยเป็นผู้กำาหนดทิศทางใน
การแสวงหาข้อเท็จจริง มีอำานาจสั่งให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐส่งเอกสารหลักฐาน
ที่จำาเป็นต่อการพิจารณาคดีตามที่เห็นสมควรแก่ศาล รวมทั้งเรียกมาให้ถ้อยคำาต่อศาล เพื่อให้
ศาลปกครองสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ครบถ้วน และเพียงพอในการวินิจฉัยประเด็น
แห่งข้อพิพาท โดยไม่ผูกพันกับข้อเท็จจริงเพียงเท่าที่คู่ความนำาเสนอหรือกล่าวอ้างเท่านั้น อันส่งผล
ให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปด้วยความยุติธรรม
ดังนั้น บทบัญญัติของมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกำาหนดดังกล่าว ซึ่งเป็นผลให้ผู้ที่
ได้รับความเสียหายจากข้อกำาหนด ประกาศ คำาสั่ง หรือการกระทำาของเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม
พระราชกำาหนดดังกล่าวที่มีลักษณะเป็นการใช้อำานาจทางปกครองโดยแท้ ต้องนำาข้อพิพาทเข้าสู่
กระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรมแทนศาลปกครอง จึงเป็นบทบัญญัติกฎหมายที่ไม่เหมาะสม
และสอดคล้องกับหลักการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำาทางปกครองของ
เจ้าหน้าที่ของรัฐในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอยู่ในอำานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองดังเช่น
นานาอารยประเทศ และย่อมมีผลกระทบต่อสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชนที่มีสิทธิให้
ข้อพิพาททางปกครองของตนได้รับการพิจารณาในกระบวนพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง
อันสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
๕) ความรับผิดของพนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำานาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงาน
เจ้าหน้าที่
มาตรา ๑๗ แห่งพระราชกำาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ บัญญัติว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำานาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่