Page 198 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 198
196 ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เล่ม ๑ ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
ที่อาจกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นอย่างมาก แต่หากการกระทำาของเจ้าหน้าที่
ฝ่ายทหารดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ประชาชนผู้ที่ได้รับความเสียหายดังกล่าว
ไม่อาจเรียกร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๑๖ แห่ง
พระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ ที่กำาหนดให้ความเสียหายซึ่งอาจบังเกิดขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใด
จากการปฏิบัติตามอำานาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ นี้ บุคคล
หรือบริษัทใดๆ จะร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับอย่างหนึ่งอย่างใดแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่ได้
ซึ่งความรับผิดของรัฐตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวมีลักษณะไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายว่าด้วย
ความรับผิดของรัฐในปัจจุบัน และก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนผู้ที่ได้รับความเสียหาย
จากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารดังกล่าว อีกทั้งบทบัญญัติดังกล่าวยังขัดกับปฏิญญา
สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ ๘ ที่กำาหนดว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาอันมีประสิทธิผล
จากศาลที่มีอำานาจแห่งรัฐต่อการกระทำาอันล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งตนได้รับตามรัฐธรรมนูญ
หรือกฎหมาย และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๒ ข้อย่อย ๓ ก.
ที่กำาหนดว่ารัฐภาคีแต่ละรัฐแห่งกติกานี้รับที่จะประกันว่า บุคคลใดที่สิทธิและเสรีภาพของตน
ซึ่งรับรองไว้ในกติกานี้ถูกละเมิดต้องได้รับการเยียวยาอย่างเป็นผลจริงจัง โดยไม่ต้องคำานึงว่า
การละเมิดนั้นจะถูกกระทำาโดยบุคคลผู้ปฏิบัติการตามหน้าที่ ดังนั้น สมควรให้ผู้ที่ได้รับความเสียหาย
จากการบังคับใช้พระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ ซึ่งจะสอดคล้อง
กับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๒ ข้อย่อย ๓ ข. ที่กำาหนดว่า
รัฐภาคีแต่ละรัฐแห่งกติกานี้รับที่จะประกันว่า บุคคลใดที่เรียกร้องการเยียวยาดังกล่าวย่อมมีสิทธิที่จะ
ได้รับการพิจารณาจากฝ่ายตุลาการ ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายนิติบัญญัติที่มีอำานาจหรือจากหน่วยงานอื่น
ที่มีอำานาจตามที่กำาหนดไว้โดยระบบกฎหมายของรัฐและจะพัฒนาหนทางการเยียวยาด้วยกระบวนการ
ยุติธรรมทางศาล
๖.๒.๒ พระราชกำาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘
๑) การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไม่กำาหนดระยะเวลา (มาตรา ๕)
เมื่อปรากฏว่ามีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น และนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรใช้กำาลัง
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำารวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารร่วมกันป้องกัน
แก้ไขปราบปราม ระงับ ยับยั้ง ฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของ
คณะรัฐมนตรี มีอำานาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักรหรือในบางเขต
บางท้องที่ได้ ตามความจำาเป็นแห่งสถานการณ์ ในกรณีที่ไม่อาจขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ได้ทันท่วงที นายกรัฐมนตรีอาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปก่อน แล้วดำาเนินการให้ได้รับความ
เห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีภายในสามวัน หากมิได้ดำาเนินการขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ภายในเวลาที่กำาหนด หรือคณะรัฐมนตรีไม่ให้ความเห็นชอบ ให้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
ดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดลง