Page 206 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 206

204   ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
                  ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เล่ม ๑  ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗




                             ๗.๑.๔  คณะรัฐมนตรี โดยกองอำานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

                  รวมทั้ง สำานักงานอัยการสูงสุด ศาลยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ควรพิจารณาการเข้าสู่
                  กระบวนการอบรมตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ

                  ให้ต้องมีคณะบุคคลทำาการพิจารณาว่า บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำาความผิดตามพระราชบัญญัติ
                  การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ ได้กระทำาความผิดจริง ยอมกลับใจ และยินยอมเข้ารับ

                  การอบรมโดยสมัครใจ เพื่อให้มาตรา ๒๑ ถูกนำามาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาตามวัตถุประสงค์
                  อย่างแท้จริง


                             ๗.๑.๕  คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงกลาโหม ควรตีความมาตรา ๙ (๑) ประกอบมาตรา
                  ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ อย่างเคร่งครัด  โดยมาตรา ๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ

                  ดังกล่าวเป็นการให้อำานาจในการตรวจค้นตัวบุคคล และมาตรา ๑๕ ทวิ ให้อำานาจทหารเมื่อมีเหตุ
                  อันควรสงสัยว่าบุคคลใดกระทำาการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้ หรือคำาสั่งของทหาร

                  ให้ทหารมีอำานาจกักตัวบุคคลนั้นไว้ เพื่อสอบถามหรือตามความจำาเป็นของราชการได้ แต่การตรวจค้น
                  ตามมาตรา ๙ (๑) และการกักตัวตามมาตรา ๑๕ ทวิ โดยมีเหตุผลตามความจำาเป็นของราชการ

                  สามารถกระทำาได้เฉพาะการตรวจค้นร่างกายภายนอกเท่านั้น แต่ในการตรวจค้นดังกล่าวเจ้าหน้าที่
                  ได้กระทำาต่อเนื้อตัวร่างกาย ซึ่งมาตรา ๓๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐

                  ให้ความคุ้มครอง การตีความมาตรา ๙ (๑) ประกอบมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ
                  ให้รวมถึงการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม (DNA) ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของ

                  ประชาชน รวมทั้ง เป็นการตีความที่เกินกรอบวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐจึง
                  ไม่สามารถอาศัยมาตรา ๙ (๑) ประกอบมาตรา ๑๕ ทวิ เพื่อการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม (DNA) ได้




                        ๗.๒  ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย

                             ๗.๒.๑  พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช ๒๔๕๗

                             ๑)  คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงกลาโหม ควรกำาหนดหลักเกณฑ์ในการใช้บทบัญญัติ

                  ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ เนื่องจากมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ เป็น

                  บทบัญญัติที่ให้อำานาจในการประกาศกฎอัยการศึกไว้กว้างขวางมาก ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่มี
                  เงื่อนไขกำาหนดแน่นอนว่าจะมีการประกาศกฎอัยการศึกได้เมื่อใด และตอนท้ายมาตรา ๒ ยังกำาหนด
                  ด้วยว่า “บรรดาข้อความในพระราชบัญญัติหรือบทกฎหมายใดๆ ซึ่งขัดกับความของกฎอัยการศึกที่

                  ให้ใช้บังคับต้องระงับและใช้บทบัญญัติของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับนั้นแทน” มีผลทำาให้กฎหมายอื่น

                  หมดสภาพการบังคับใช้ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม สมควรกำาหนดเงื่อนไขให้มีความ
                  ชัดเจนโดยเงื่อนไขในการใช้บทบัญญัติในกฎอัยการศึกนั้นต้องเป็นกรณีที่เกิดสงคราม หรือจลาจล
                  เท่านั้น และประการสำาคัญต้องไม่นำามาใช้กับรัฐประหาร รวมทั้ง ต้องกำาหนดระยะเวลาในการ

                  ประกาศใช้ด้วย
   201   202   203   204   205   206   207   208   209   210   211