Page 201 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 201
199
ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เล่ม ๑ ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้อำานาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งจากนายกรัฐมนตรีในการ
ปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา ๙ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชกำาหนดดังกล่าว แล้วแต่กรณี อันมี
ลักษณะที่เป็นการใช้อำานาจทางปกครองโดยแท้ และอยู่ในอำานาจการตรวจสอบของศาลปกครอง
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๒๓ กรณี จึงเป็นการจำากัดสิทธิและเสรีภาพ
ขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงและได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างถูกต้องเป็นธรรม
และทำาให้ศาลปกครองไม่สามารถตรวจสอบมาตรการของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายปกครองว่า ได้กระทำา
ลงไปพอสมควรแก่เหตุตามความจำาเป็นแห่งสถานการณ์หรือไม่ อย่างไร
แม้ว่าตามคำาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๙/๒๕๕๓ ได้วินิจฉัยโดยมิใช่เสียง
เอกฉันท์ว่า ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อกำาหนด ประกาศ คำาสั่ง หรือการกระทำาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ตามพระราชกำาหนดดังกล่าวนี้ จะสามารถนำาคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรมได้ตาม
ความในมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญฯ ก็ตาม แต่โดยที่รัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติให้ประเทศไทยใช้ระบบ
ศาลคู่ และมีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นมาเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีปกครองโดยเฉพาะ แยกต่าง
หากจากศาลยุติธรรม โดยมาตรา ๒๑๘ ของรัฐธรรมนูญฯ บัญญัติให้ศาลยุติธรรมมีอำานาจพิจารณา
พิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำานาจของศาลอื่น
ในขณะที่มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญฯ บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำานาจพิจารณา พิพากษา
คดีพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ
องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงาน
ของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ด้วยกัน อันเนื่องมาจากการใช้อำานาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำาเนินกิจการ
ทางปกครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือ
องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งมีอำานาจพิจารณา
พิพากษาเรื่องที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำานาจของศาลปกครอง ซึ่งเจตนารมณ์ของ
รัฐธรรมนูญที่จัดตั้งให้มีระบบศาลหลายระบบดังกล่าว ก็เพื่อให้ศาลแต่ละระบบมีเขตอำานาจในการ
พิจารณาพิพากษาคดีที่แตกต่างกัน มีนิติวิธีหรือวิธีการที่จะคิดวิเคราะห์ให้เป็นระบบในทางกฎหมาย
และวิธีพิจารณาที่แตกต่างกัน เพื่อให้ศาลมีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉพาะด้าน
อันจะทำาให้การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นจริงในทางปฏิบัติมากขึ้น โดยศาลปกครอง
และศาลยุติธรรมต่างก็มีอำานาจหน้าที่และวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งองค์กรที่แตกต่างกัน จึงต่างมี
นิติวิธีในการตีความกฎหมาย และการแสวงหาข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาที่แตกต่างกันอย่าง
เด่นชัด การที่ศาลแต่ละระบบมีนิติวิธีที่แตกต่างกัน หากนำานิติวิธีไปใช้กับคดีผิดประเภทย่อมส่งผล
ต่อความยุติธรรมที่คู่กรณีควรได้รับจากศาล
ในส่วนของศาลยุติธรรมนั้น โดยทั่วไปจะเป็นศาลที่มีอำานาจพิจารณาพิพากษา
ข้อพิพาททางแพ่งและทางอาญา และมีวิธีพิจารณาคดีในระบบกล่าวหาซึ่งภาระในการแสวงหาพยาน