Page 196 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 196

194   ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
                  ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เล่ม ๑  ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗




                  แม้มาตรา ๒๑ จะเปิดโอกาสที่ดีให้แก่ผู้กระทำาความผิดก็ตาม แต่กระบวนการเข้าอบรมตาม

                  มาตรา ๒๑ ต้องโปร่งใส ชัดเจน และโดยสมัครใจและเมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วจะต้องไม่ถูกกล่าวหาว่า
                  กระทำาความผิดซ้ำาถ้าเป็นการกระทำาความผิดเดิม  นอกจากนี้ ต้องแก้ปัญหาให้แก่บุคคลที่เข้าอบรม

                  ในกรณีที่ถูกกล่าวหาหลายข้อหา เมื่อเข้าสู่กระบวนการอบรมแล้วก็ยังมีข้อหาอื่นที่ต้องถูกดำาเนินการ
                  ทางศาล ทำาให้ไม่จูงใจที่จะเข้ารับกระบวนการอบรมเพื่อให้มาตรา ๒๑ ถูกนำามาใช้เป็นเครื่องมือในการ

                  แก้ไขปัญหาตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง

                             ๖.๑.๔  การดำาเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการตรวจค้นตัวบุคคล


                             คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้อำานาจตาม
                  มาตรา ๙ (๑) และมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ ว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้อำานาจ
                  ตามกฎอัยการศึกตั้งด่านสกัดและนำาตัวผู้ชายอายุตั้งแต่ ๑๖ ปี ถึง ๓๕ ปี ที่เดินทางผ่านอำาเภอไม้แก่น

                  จังหวัดปัตตานี ขึ้นรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ทหารไปที่ที่ว่าการอำาเภอไม้แก่น เพื่อทำาการสอบประวัติ

                  และตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม (DNA) นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ทหารอีกจำานวนหนึ่งได้สนธิกำาลังกับ
                  เจ้าหน้าที่ตำารวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเข้าไปใน ๓ หมู่บ้านของตำาบลไทรทอง อำาเภอไม้แก่น
                  จังหวัดปัตตานี โดยเจ้าหน้าที่ได้ขอดูทะเบียนบ้านแต่ละหลังและเรียกตัวผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่
                               ๑๔๗
                  ๑๘ ปี ถึง ๓๕ ปี    ให้เดินทางไปพร้อมเจ้าหน้าที่เพื่อทำาการสอบประวัติและเก็บดีเอ็นเอ ซึ่งผู้ร้อง
                                                                         ๑๔๘
                  เห็นว่าการกระทำาดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล
                             เนื่องจากมาตรา ๙ (๑) ประกอบมาตรา ๑๕ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ
                  มีผลกระทบต่อเนื้อตัวร่างกายของบุคคล การตีความบังคับใช้มาตรา ๙ (๑) ประกอบมาตรา ๑๕ ทวิ

                  แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ จึงควรมีการตีความบังคับใช้อย่างเคร่งครัด โดยมาตรา ๙ (๑)

                  แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการให้อำานาจในการตรวจค้นตัวบุคคล และมาตรา ๑๕ ทวิ ให้อำานาจ
                  ทหารเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลใดกระทำาการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้หรือ
                  คำาสั่งของทหารให้ทหารมีอำานาจกักตัวบุคคลนั้นไว้ เพื่อสอบถามหรือตามความจำาเป็นของราชการได้

                  แต่การตรวจค้นตามมาตรา ๙ (๑)  และการกักตัวตามมาตรา ๑๕ ทวิ  โดยมีเหตุผลตามความจำาเป็น

                  ของราชการ สามารถกระทำาการตรวจค้นบุคคลหรือผู้ต้องสงสัยในการกระทำาความผิดซึ่งเป็น
                  การตรวจค้นเฉพาะภายนอกของเนื้อตัวร่างกายเท่านั้น แต่ในการตรวจค้นดังกล่าวไม่มีนัยถึง
                  การตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม (DNA) ในตัวของผู้ต้องสงสัยโดยผู้นั้นไม่ยินยอม ซึ่งมาตรา ๓๒

                  ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ให้ความคุ้มครองการตีความบังคับใช้




                  ๑๔๗ หนังสือกองอำานวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ที่ นร ๕๑๑๙.๑/๑๖๖ ลงวันที่ ๒๔
                       มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริง
                  ๑๔๘ คำาร้องที่ ๑๗/๒๕๕๖ เรื่อง ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล และ
                       เสรีภาพในการเดินทาง กรณี กล่าวอ้างว่าการสอบประวัติและการเก็บดีเอ็นเอ โดยใช้อำานาจตามพระราชบัญญัติ
                       กฎอัยการศึกฯ เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
   191   192   193   194   195   196   197   198   199   200   201