Page 98 - โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง สิทธิชุมชนและผลกระทบโครงการพัฒนาภาคใต้
P. 98
๘๔
เช่นกัน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีร่องน้ําลึกซึ่งเป็นที่ชอบอาศัยอยู่ของปลาทู รวมทั้งทรัพยากรสัตว์น้ําอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นปลาต่าง ๆ ปลาหมึก และกุ้งทําให้มีชาวประมงไม่น้อยกว่า ๔๘ หมู่บ้าน ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้กับ
ชายฝั่งทะเล และอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทะเลและประมงเป็นแหล่งประกอบอาชีพ ดังที่
นายปิยะ แย้มเทศ ตัวแทนเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พูดถึงสิทธิของ
ชาวประมงพื้นบ้านในความมีชีวิตอยู่และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติไว้ว่า “เราชาวประมง
รักในอาชีพของเรา เพราะอาชีพเป็นค่ารักษาพยาบาลยามเราเจ็บป่วย อาชีพเป็นค่าเล่าเรียนลูก อาชีพ
เป็นค่ารถ และอาชีพเป็นทุกอย่างของชีวิต ถ้าสูญเสียอาชีพ ก็สูญเสียชีวิต สูญเสียชุมชน” ข้อกังวลหลัก
ของชาวบ้าน ก็คือ หากว่าฐานทรัพยากรทะเลและประมงที่มีความอุดมสมบูรณ์ต้องเสื่อมโทรมลง ระบบ
และวิถีชีวิตของชุมชนประมงทั้งหมดก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ย่ําแย่ลงด้วย นอกจากนี้ชาวบ้านยัง
มีข้อกังวลอีกประการหนึ่งก็คือ กระบวนการผลิตของโรงงานและกระบวนการขนส่งที่เกี่ยวข้องจะ
ก่อให้เกิดมลพิษในด้านต่าง ๆ ทั้ง อากาศ น้ํา ของเสีย เสียงดัง ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
ของชาวบ้านในชุมชนโดยรอบเช่นกัน ทั้งนี้ชาวบ้านเองก็ได้มีประสบการณ์โดยตรงจากโรงงานของบริษัท
สหวิริยา ที่ได้ตั้งอยู่ก่อนแล้วว่าก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ทั้งฝุ่นละออง ควันดํา จากปล่องโรงงาน และ
ปรากฏการณ์ฝนสีเหลือง (น้ําฝนที่ตกลงมาเกาะกับสิ่งของแล้วจะเป็นเม็ดสีเหลือง) การปล่อยน้ําเสียลง
คลองแม่รําพึงทําให้ปลาที่ชาวบ้านเลี้ยงในกระชังตาย แต่ประเด็นเหล่านี้กลับไม่ได้รับการพิจารณาจริงจัง
จากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทําให้ประชาชนมีความเสี่ยงภัยที่จะสูญเสียสิทธิในมาตรฐาน
การครองชีพ ความมีชีวิตอยู่ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป
๓) สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
โครงการพัฒนาที่เข้ามาในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในระยะแรก คือ โรงไฟฟ้าถ่านหิน
ซึ่งขณะนั้นคนในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์รู้แต่ว่าจะมีโรงไฟฟ้าถ่านหินมาสร้างสามโรง ไม่รู้เรื่องเลย
ว่าจะมีโครงการพัฒนาชุดใหญ่ตามมาทั้งท่าเรือน้ําลึก นิคมอุตสาหกรรมเหล็ก และก็แทบจะไม่รู้เรื่อง
เกี่ยวกับแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตกเลย อีกทั้งการที่เครือบริษัทสหวิริยา ได้มีการยื่นเอกสาร
ต่อการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อดําเนินการขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเหล็กบางสะพาน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ชาวบ้านและชุมชนก็ไม่เคยรับรู้ข้อมูลข่าวสารใด ๆ เลย ชาวบ้านพึ่งมารับรู้เรื่อง
ดังกล่าวหลังจากนั้น ๕ ปี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เนื่องจากชาวบ้านได้ข่าวว่ามีการนัดประชุมเพื่อพูดคุย
ปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเหล็กบางสะพานที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัด
ประจวบคีรีขันธ์ ชาวบ้านจึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อขอให้มีการ
ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และจากการที่ชาวบ้านได้เข้าร่วมประชุมตรวจสอบข้อเท็จจริงของ
คณะอนุกรรมการสิทธิชุมชน ชาวบ้านถึงได้รู้ว่าบริษัทได้มีการดําเนินโครงการดังกล่าวมาแล้วตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยบริษัทได้ยื่นเอกสารขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเหล็กบางสะพาน และได้แนบ