Page 69 - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงครามและข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
P. 69
ประเด็นที่สาม คือ มีเนื้อหาสาระสำาคัญบางส่วนที่ได้ระบุไว้แล้วในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ตอนนี้กำาลังใช้ ฉบับที่ ๒ ซึ่งฉบับที่ ๑ อนุมัติเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓ ผ่านไป ๕ ปีก็ไม่ได้ทำาอะไร
จนมาฉบับที่ ๒ ผ่านมาแล้ว ๒ - ๓ ปี ก็ดูเหมือนว่ายังไม่มีอะไร และตอนนี้กำาลังจะร่าง
ฉบับที่ ๓ ตรงนี้ถ้าลงไปศึกษาดูดีๆ คิดว่า ประเด็นสาระสำาคัญที่จะต้องดูแลผู้ที่หลบหนีภัย
สงครามเข้ามามันก็ได้ เป็นสิ่งที่ต้องคิดคำานึง โดยขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ
ส่วนต่างๆ เอาเอกสารทั้ง ๔ ฉบับ รวมทั้งแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติลงไปปรึกษาหารือ
กันว่า “จะนำาไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในมุมที่เป็นคุณต่อการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
ในฐานะที่ทุกคนเป็นมนุษย์ได้อย่างไร”
นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กล่าวปิดเวทีนำาเสนอผลการวิจัยว่า
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ทำาการวิจัยเรื่องนี้ เพราะการมองภาพรวมเรื่องการจัดการ
ประชากรของภูมิภาคอาเซียนไม่ใช่แค่เรื่องของผู้อพยพ หรือผู้ลี้ภัย ประเด็นที่พูดวันนี้เรื่องปัญหาในการ
บริหารจัดการผู้อพยพ หรือผู้ลี้ภัยจากสงคราม จึงเห็นด้วยที่ผู้แทนจาก IOM บอกว่า “เป็นแค่เศษเสี้ยว
เล็กๆ ของปัญหาการจัดการประชากร” แต่คิดว่าเรื่องนี้มีความสำาคัญที่เป็นหัวใจของการพัฒนาในภูมิภาค
อาเซียนที่เราเห็นตรงกันว่า “ไม่ต้องการการพัฒนาเพื่อประโยชน์ของคน หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่
ต้องการพัฒนาเพื่อประโยชน์ของประชาชน หรือว่าชาวอาเซียนทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นไทย พม่า ลาว กัมพูชา
่
มาเลเชีย อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ชาติที่รำารวยอย่าง บรูไน และสิงคโปร์
ประเด็นการนำาเสนอผลการวิจัยวันนี้ ตั้งต้นจากการที่เราไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใน
พื้นที่จังหวัดตาก จังหวัดกาญจนบุรี หรือที่อำาเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ข้าราชการบอกกับผมว่า
“หมอครับ ผมเป็นทหาร ผมรู้สึกลำาบากมากที่ต้องมาคอยต้อนรับหมอ หมอมาทำาไม แทนที่ผมเอาเวลา
ไปป้องกันชายแดน” ผมก็เลยบอกว่า “จริงๆ แล้ว ผมมาช่วยพวกคุณนะ เพราะผมรู้ว่าปัญหาเรื่องการดูแล
ชายแดนมันไม่ควรจำากัดเฉพาะทหาร มันควรจะเป็นเรื่องของหน่วยงานของรัฐ หรือกระทรวงอื่นๆ มาช่วย
ดูแล เพราะเวลาใครพูดอะไรเขาก็ด่าทหารอย่างเดียวว่า ทหารจัดการไม่ดี เช่น เรื่องการส่งกลับ”
ตอนที่ไปพบแม่ทัพภาค ๓ ผมพูดเลยว่า “หลักการส่งกลับจะยึดหลักสิทธิมนุษยชน” แต่ในทาง
ปฏิบัติ ชาวบ้านที่มาร้องกับหมอซินเธีย หม่อง ตอนที่มาร้องก็อยู่ในป่าเขาชายแดนไทย – พม่า มีจำานวน
มากถึง ๑๐,๐๐๐ กว่าคน แต่ละคนมีสภาพไม่ใช่แค่ว่าน่าสงสาร เพราะเขาไม่ควรจะมารับเคราะห์กรรม
้
หรือภัยพิบัติที่ไม่ได้เกิดจากนำามือของเขาเลย ประเด็นเหล่านี้ทำาให้ผมเกิดความรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่เรื่อง
ของภาคประชาชน หรือ NGOs อย่างเดียวที่มาร้องกับเรา เพราะมันมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการบริหาร
จัดการภาครัฐที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
สภาพปัญหาในพื้นที่ที่กระทบต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตปกติสุข ประเด็นการละเมิด
สิทธิมนุษยชน สิทธิในการมีชีวิต และการที่จะให้หลักประกันความปลอดภัยเพื่อส่งกลับโดยสมัครใจ
แต่ปัญหาตรงนั้นไม่ใช่เรื่องที่จบได้ในระยะเวลาสั้นๆ เลยเกิดปัญหาการละเมิดสิทธิอื่นๆ ต่อเนื่อง เช่น สิทธิ
้
ของเด็กที่จะได้รับการศึกษา สิทธิการดูแลรักษาพยาบาล ฯลฯ สิ่งที่ตอกยำาตรงนี้ คือ น่าจะมีการทบทวน
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงคราม และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒