Page 68 - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงครามและข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
P. 68
อีกประเด็นที่จะฝากไว้ คือ สิ่งที่เราคิดว่าเราทำาดีแล้ว แต่คนที่ได้รับการดูแลเขายังคิดไม่เหมือนกัน
กับเรา ทำาให้เกิดปัญหาต่อเนื่อง เช่น กัมพูชาที่อยู่กับเราเกือบ ๒๐ ปี พอเขากลับไปเราก็รู้สึกว่าเขาน่าจะ
รู้สึกดีกับเรา แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชาหลายๆ ครั้งเราก็พบว่า เขายังมีอะไรที่คาใจอยู่
เหมือนกัน และพอมีประเด็นอะไรเกิดขึ้นก็สามารถเป็นปัญหาที่รุกลามใหญ่โตขึ้นไปได้ ในกรณีผู้หนีภัย
จากการสู้รบจากพม่า เราก็เห็นว่าเขากำาลังจะกลับไป ถ้าหากว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเรา ความรู้สึกนั้นมันจะ
ถูกเก็บไปอยู่กับตัวเขา และถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานด้วยต่อไปในอนาคต ตรงนี้คิดว่าจะเป็นนโยบายความ
มั่นคงของประเทศไทย และส่วนของภูมิภาคที่สำาคัญ
ประเด็นสุดท้าย เรื่องกรอบนโยบายและกรอบกฎหมาย ก็เห็นว่า กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องผู้ลี้ภัย
เราไม่มี เพราะเราใช้นโยบายซึ่งก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศนิติรัฐ เราคง
ต้องใช้กฎหมายในการบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ซึ่งถ้าเราใช้แต่เรื่องนโยบายอย่างเดียว แม้ว่ามีความคล่องตัว
แต่ว่ามันไม่เป็นระบบ
นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด อนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กล่าวว่า
โดยรวมแล้ว แม้ว่าประเทศไทยยังไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑
อย่างที่เราอยากให้ดำาเนินการ แต่ว่ารัฐบาลไทยก็น่าจะเป็นมืออาชีพเรื่องการรองรับผู้ลี้ภัย อย่างแม่สอด
ที่เราลงพื้นที่เรื่องกลไกการทำางานร่วมกันระหว่างราชการ ภาคเอกชน UN NGOs ไทยหรือพม่า อันนี้ไม่มี
กลไกที่ชัดเจน ซึ่งถ้ามีตรงนี้ก็จะช่วยสร้างหลักประกันบางเรื่อง เช่น การประเมินสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
รัฐอาจจะมองว่าปลอดภัยแล้วและก็ส่งกลับได้ แต่ภาคเอกชนมองว่ายังไม่ปลอดภัย ความปลอดภัยของรัฐ
กับความปลอดภัยของภาคเอกชนไม่เหมือนกัน ซึ่งน่าจะมีเครื่องมือ โดยใส่เป็นข้อเสนอแนะในรายงาน
นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงษ์ อนุกรรมกาด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กล่าวสรุป
๓ ประเด็น คือ
ประเด็นแรก การใช้คำาไม่ว่าจะเป็น “ผู้ลี้ภัย” หรือ “ผู้หนีภัย” จากการสู้รบ ก็ไม่สำาคัญเท่ากับ
นโยบายของรัฐว่าดูแลเขาในฐานะที่เป็นมนุษย์หรือเปล่า
ประเด็นที่สอง แม้ว่าประเทศไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบันในเรื่องอนุสัญญาผู้ลี้ภัย แต่ประเทศไทยก็ให้
สัตยาบัน มีพันธกรณีกับอนุสัญญาระหว่างประเทศ ๔ ฉบับสำาคัญ (ไม่รวมผู้หญิง และเด็ก)
คือ
๑) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง
๒) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
๓) อนุสัญญาว่าด้วยขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
๔) อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน
ซึ่งทั้ง ๔ ฉบับนี้มีประเด็นที่สัมพันธ์และสอดคล้องกัน คิดว่าในฐานะที่รัฐบาลไทยมีพันธกรณีอย่าง
น้อย ๔ ฉบับ ตรงนี้ก็ต้องเอาประเด็นต่างๆ มาบูรณาการให้ไปด้วยกัน ถ้ารัฐบาลมุ่งมั่นปฏิบัติตามพันธกรณี
นำามากำาหนดเป็นนโยบาย รวมทั้งเรื่องข้อปฏิบัติซึ่งไปไกลกว่าสิ่งที่ระบุไว้ในสัญญาผู้ลี้ภัย
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงคราม และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒