Page 60 - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงครามและข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
P. 60
อีกทั้งหลักการไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตรายนั้น ยังเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ
ที่ทุกประเทศให้การยอมรับ แม้ว่าจะไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้น การที่เราจะผลักดันใครกลับไปนั้น
ก็เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแน่นอน ซึ่งตรงนี้จะมีผลตามต่อมาในภาพลักษณ์ของไทย
ในประชาคมโลก ยกตัวอย่างล่าสุด จากผลกระทบที่ประเทศไทยเรามีปัญหาในเรื่องของการค้ามนุษย์
หรือการฟอกเงิน ประเทศไทยเราก็ประสบปัญหาเพราะว่า ถูกจัดอยู่ในอันดับที่มีความเสี่ยงที่จะต้องถูก
จับตามองในเรื่องของการฟอกเงิน
ปัญหาของการค้ามนุษย์นั้น ในส่วนของผู้แทนสหประชาชาติก็ได้บอกว่า “ในกลุ่มที่เป็นปัญหา
คือ ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ และผู้ลี้ภัยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกค้ามนุษย์ด้วยเหมือนกัน”
ฉะนั้นในการบริหารจัดการดังกล่าวซึ่งเราใช้อำานาจบริหารในการจัดการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
ทำาให้เราประสบปัญหาในเรื่องของการจัดการอย่างเป็นระบบ นอกเหนือไปจากการที่ไทยเราเข้ามาดูแล
ในเรื่องการลี้ภัยจากการสู้รบก็มีข้อท้วงติงจากประเทศต้นทางอยู่เนื่องๆ ว่า เราได้ให้ความช่วยเหลือกับ
กลุ่มการเมือง
ด้วยเหตุนี้เอง กฎหมายระหว่างประเทศจึงกำาหนดไว้ว่า “การที่ประเทศรัฐสมาชิกจะเข้าไปให้การ
ช่วยเหลือกับคนที่เข้าไปขอลี้ภัยในประเทศของตนเองนั้น เป็นการให้ความช่วยเหลือตามหลักสิทธิมนุษยชน
และหลักมนุษยธรรม จึงไม่เป็นการให้ความช่วยเหลือในเชิงที่จะมองว่าเป็นศัตรู”
ดังนั้น หากประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ เมื่อมี
คนที่หนีตายเข้ามาในประเทศไทย เราให้ความช่วยเหลือ เราก็สามารถที่จะอธิบายกับประเทศต้นทางได้ว่า
“เราไม่ได้เลือกข้างที่จะไปช่วยคนอีกข้างหนึ่งที่ไม่ใช่รัฐบาล แต่เราทำาด้วยหน้าที่ของเราในฐานะที่เป็นรัฐ
สมาชิกของสหประชาชาติ และเป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัย” การที่เราจะ
พิจารณาตัวอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัยอย่างที่เป็น ไม่มีอคติกับตัวอนุสัญญา แต่ดูว่ากฎหมาย
ฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการประเด็นปัญหาที่ประเทศไทยประสบมากว่า ๔๐ ปี และเป็น
ประเด็นที่ประเทศไทยถูกท้วงติงโดยสหประชาชาติ และประชาคมโลกมาโดยตลอด หากว่าเราสามารถ
ที่จะใช้กฎหมายฉบับเดียวกันกับที่ประชาคมโลกใช้ในการบริหารจัดการประเด็นปัญหาซึ่งเรามีอยู่ และถ้ามี
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นอีกในพม่า ก็คงต้องมีคนเข้ามาอีก และเราก็คงต้องถูกท้วงติงในประเด็นปัญหานี้อีก
ฉะนั้น เราคงต้องตัดสินใจเชิงท่าทีในการที่จะเข้าไปเป็นภาคีสมาชิกนี้ แทนที่จะปล่อยให้ผู้กำาหนด
นโยบายเพียงไม่กี่ท่านกำาหนดท่าทีตรงนี้ คิดว่าการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม หน่วยงานต่างๆ ที่
เกี่ยวข้อง และหน่วยงานที่เป็นฝ่ายปฏิบัติเอง จะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและช่องว่างที่มีอยู่ และโอกาส
ที่จะใช้กลไกทางกฎหมายดังกล่าว ช่วยให้เราทำางานอย่างเป็นระบบ และสามารถที่จะมีคำาอธิบายกับ
ประชาคมโลกได้ในมาตรฐานเดียวกัน
จากที่เคยแลกเปลี่ยนมาหลายเวที มักจะเข้าใจว่า ถ้าเราเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญาด้วยสถานภาพ
ของผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ เราจะต้องปฏิบัติกับผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ดีกว่าปัจจุบัน และจะต้องมีผู้ลี้ภัยเข้ามาใน
ประเทศไทยมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น
การพิจารณาสถานภาพผู้ลี้ภัยตามอนุสัญญาฯ ซึ่ง ณ ช่วงนั้น UNHCR ยังเป็นผู้พิจารณาผู้ลี้ภัย
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงคราม และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒