Page 50 - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงครามและข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
P. 50
ส่งทีมไปหาข้อเท็จจริง ผลปรากฏว่า “เขารู้สึกแย่มากเลยกับคนไทย เพราะตอนที่อยู่ในประเทศไทยคนไทย
จะกดขี่เขามาก และทำาให้เขารู้สึกว่าเขาด้อยค่า ถูกเอารัดเอาเปรียบ”
“ผมคิดว่า กลไกการบริหารจัดการในสมัยสงครามอินโดจีนต่างจากพม่าที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน
ฉะนั้น ความคาดหวังว่าคนเหล่านี้จะดีกับเรา ไม่แน่ใจว่าเราคิดถูกหรือเปล่า เพราะจากที่ไปสัมผัส
อย่างไม่เป็นทางการ เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับคนไทยหรือรัฐบาลไทย ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องคิดอยู่
เหมือนกัน….. สังเกตเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีเจ้าภาพหลัก เพื่อคิดกำาหนดทิศทางว่าจะทำาอย่างไร
ต่อไปอย่างจริงจัง และดึงภาคส่วนต่างๆ มาคิดดำาเนินการ คือ จะเป็นแบบแต่ละฝ่ายต่างคนก็ต่างทำาหน้าที่
ของตนเองไป เพราะไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเรามีการกำาหนดทิศทาง
ว่าจะทำาอะไรใหม่ปรับกลยุทธ์ใหม่ ควรจะมีเจ้าภาพ”
นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
กล่าวสรุปในช่วงท้ายของการสัมมนาไว้ ๓ ประเด็น กล่าวคือ
้
ประเด็นที่ ๑ ในพื้นที่พักพิงของผู้ลี้ภัย หรือการมีค่ายอพยพได้ตอกยำาวิธีคิดเก่าๆ ของเจ้าหน้าที่
และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของผู้ลี้ภัยว่า อาจจะมีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิ
้
มนุษยชน ตรงนี้ต้องการยำาว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องความผิดของตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องของวิธีคิด
และนำามาซึ่งนโยบายของการบริหารจัดการในแบบเก่าๆนั้น มีปัญหา เพราะวิธีคิดแต่เรื่อง
ของความมั่นคง
ตอนที่ผมไปดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่ท่าสองยาง อุ้มผาง แม่สอด ต้องยอมรับว่า
“ทหารต้องรับหน้าเสื่อ” เป็นผู้ดูแลปัญหาทั้งหมด ผมคิดว่าคนที่มาคอยดูแลผู้ลี้ภัยไม่ควร
เป็นฝ่ายทหารแต่ผู้เดียว เพราะหน้าที่ของทหาร คือ การศึกสงคราม แต่เรื่องของผู้ลี้ภัยไม่ใช่
เรื่องศึกสงคราม เรามองแต่ประเด็นเรื่องความมั่นคงก็เลยยัดเยียดให้ทหารเป็นคนรับผิดชอบ
ประเด็นที่ ๒ เมื่อผมไปเห็นส่วนราชการต่างๆ ดูแลผู้ลี้ภัยแบบสงสารหรือเมตตาธรรม ซึ่งคำาว่า
้
“สงสารเมตตาธรรม” ก็เลยทำางานแบบไม่ต้องมีนโยบาย เหมือนเรื่องนำาท่วม สังคมไทย
ไม่คำานึงถึงเรื่องสิทธิ ได้แต่พอใจที่เห็นมีคนบริจาคกันมากมาย จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก
ว่า “ประเทศไทยให้ทานมากเป็นอันดับ ๙ ของโลก” ทำาให้บิดเบือนภาระของรัฐบาลที่ต้อง
รับผิดชอบแก้ไขปัญหา รวมทั้งละเลยเรื่องสิทธิของประชาชนที่ต้องสูญเสียไปมากมาย
เราต้องเข้าใจว่า ความคิดแบบหนึ่งอาจจะดีสำาหรับยุคสมัยหนึ่ง แต่สมัยนี้ความคิดแค่การ
ให้ทานอย่างเดียวได้ละลายความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ต้องเข้าไปดูแลผู้ลี้ภัย ว่าเราต้อง
มีความคิดแบบ “สิทธิมนุษยชนที่เคารพหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แค่ไหน” เช่น รัฐบาล
้
ที่ดูแลวิกฤตนำาท่วมต้องมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร สิทธิการมีที่ดิน
ทำากิน และสิทธิแรงงาน ฯลฯ แต่ภาพของการให้ทานเป็นอันดับ ๙ ของโลก ได้บิดเบือน
หน้าที่ของรัฐบาลทั้งหมด
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงคราม และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒