Page 36 - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงครามและข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
P. 36
ต่อมา สำานักงานสิทธิมนุษยชน สภาทนายความมีหนังสือร้องเรียนว่า มติครม.ดังกล่าว เป็นการ
ปิดกั้นสิทธิเบื้องต้นในการก่อตั้งครอบครัวตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ
ด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี ดังนั้น สมช. จึงได้พิจารณาทบทวนมติครม. ดังกล่าวเพื่อให้
สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเสนอให้ยกเลิกมติครม. ดังกล่าว
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ คณะรัฐมนตรีจึงยกเลิกมติ
คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๐ และ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ และ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗
ที่กำาหนดห้ามให้ข้าราชการสมรสหรืออยู่กินกับผู้ที่ยังมีสถานะเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยมิชอบด้วย
กฎหมาย โดยให้เป็นสิ่งที่กระทำาได้ แต่สิทธิต่างๆ ที่ตามมาจากการสมรส รวมทั้งความผิดฐานหลบหนี
เข้าเมืองต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำาหนด
สถานะบุคคล
มติคณะรัฐมนตรี วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘ เรื่องสถานะบุคคล กล่าวว่า “คณะรัฐมนตรี
มีมติอนุมัติในหลักการการดำาเนินการตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้คำานึงถึงความรอบคอบและความมั่นคงของประเทศ ทั้งนี้
การดำาเนินการตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ให้จัดทำาโครงการสำารวจ
จัดทำาทะเบียนประวัติและเอกสารแสดงตน สำาหรับบุคคลที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบทะเบียนราษฎร และ
โครงการเร่งรัดให้สถานะตามกฎหมายแก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันเป็น
เวลานานตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล”
บทสรุป
จากการศึกษา อนุสัญญา พิธีสาร หลักการไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย (non-refoulement)
กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัย พบว่าอนุสัญญาฯ และพิธีสารฯ ทั้งสองฉบับ มีบทบัญญัติที่
สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน มีเนื้อหาที่ครบถ้วนทั้งในด้านสิทธิและหน้าที่ของผู้ลี้ภัย ซึ่งทำาให้รัฐภาคี
สามารถบริหารจัดการผู้ลี้ภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำาไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน
ด้วยเหตุดังกล่าว กฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าวข้างต้น จึงมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ของ
ประเทศไทยในปัจจุบัน ที่กำาลังเผชิญปัญหาความขัดแย้งในบริเวณชายแดน โดยอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพ
ผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ และพิธีสารเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๖๗ จะทำาหน้าที่เป็นกรอบในการ
บริหารจัดการผู้ลี้ภัยโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน และช่วยให้การแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำาหรับการปฏิบัติตาม “หลักการห้ามผลักดันกลับไปสู่อันตราย (non-refoulement)”
ประเทศไทยมีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามหลักการดังกล่าวด้วย เนื่องจากประเทศไทยเป็นภาคีของ
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทาง
เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ อนุสัญญา
่
ต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือยำายีศักดิ์ศรี และอนุสัญญา
ว่าด้วยสิทธิเด็ก กติการะหว่างประเทศ และอนุสัญญาต่างๆ เหล่านี้ มีบทบัญญัติรองรับหลักการห้าม
การผลักดันบุคคลกลับไปสู่อันตราย ประเทศไทยจึงต้องยึดมั่นในหลักการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการคุ้มครองสิทธิของผู้อพยพหนีภัยสงคราม และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒