Page 709 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 709
่
่
รายงานต่อนิติบัญญัติ เพื่อให้ฝายนิติบัญญัติตรวจสอบฝายบริหารอีกทีหนึ่ง แล้วก็ให้
สังคมตรวจสอบคือ รายงานเผยแพร่ต่อสาธารณะ
นอกจากนี้ นักวิชาการด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชนอีกท่านหนึ่ง ได้ให้ความเห็น
เพิ่มเติมไว้ว่า ผลการไกล่เกลี่ยมีผลทางกฎหมายเหมือนกัน ถ้าเป็นในกรณีความรับผิด
ในทางแพ่ง เช่น การท าสัญญากันไว้ ประนีประนอม ยอมความ ไม่ใช่ไม่มีผลทาง
กฎหมายซะทีเดียว แต่กรรมการสิทธิไม่ควรที่จะเข้าไปก้าวก่ายในกระบวนการยุติธรรม
ทางอาญา
8.6.4 กระบวนการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง
ด้านกระบวนการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง พบข้อสังเกตเกี่ยวกับข้อ
กฎหมายที่ควรพิจารณารวม 4 ข้อ ประกอบด้วย
1) ไม่มีกรอบระยะเบื้องต้นตามกฎหมายที่ก าหนดให้บุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ชี้แจงข้อเท็จจริง (มีเพียงการก าหนดไว้ในระเบียบ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) ดังนั้นควรมีการก าหนดไว้ในข้อกฎหมาย
เช่นเดียวกับบางประเทศเช่นเกาหลีใต้ เป็นต้น
ความคิดเห็นต่อข้อกฎหมาย
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากนักวิชาการด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชน
เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน คือ ไม่ควรระบุกรอบระยะเวลาเบื้องต้นในกฎหมาย
เนื่องจาก 1) การมีกรอบหรือก าหนดเป็นระเบียบภายในถือว่าเป็นการผูกพันกับผู้ร้อง ว่า
กสม. ต้องรับผิดชอบต่อผู้ร้อง ซึ่งหากว่า กสม. แจ้งว่าจะท าให้เสร็จภายใน 2 เดือน
เท่ากับผูกพันว่า 2 เดือน กสม. ต้องมีค าตอบให้กับผู้ร้อง แต่ค าตอบที่ได้ กรรมการสิทธิ
ตอบได้เพียงแต่ว่า ตรวจสอบเสร็จแล้ว แล้วหลังจากนั้นก็ส่งให้หน่วยอื่นเป็นผู้ใช้อ านาจ
เป็นผู้บังคับตามกรอบที่ กสม. เสนอต่อไป
ข้อจ ากัดดังกล่าว 1) กสม. สามารถก าหนดกรอบระยะเวลาของตัวเองได้ แต่จะ
ไม่ผูกพันหน่วยงานอื่น 2) หากหน่วยงานอื่นไม่ให้ความร่วมมือกับ กสม. ในการให้ข้อมูล
กสม.สามารถใช้มาตรการทางอาญา (บทลงโทษในมาตราที่ 34) เข้าไปช่วยในการ
แสวงหาข้อเท็จจริงได้ แต่ปัญหาก็คือว่า ที่ผ่านมากรรมการสิทธิไม่เคยใช้อ านาจ
ตามมาตรา 34 เลย
- 590 -

