Page 692 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 692
4. ควรมีการบังคับจากตัวกฎหมายในการระบุระยะเวลาที่ชัดเจนในการที่จะให้
ข้อมูลที่ต้องการจากบุคคล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
5. ควรมีการลดขั้นตอนที่ต้องมีการรอขอมติกับองค์คณะกรรมการชุดใหญ่
เพื่อให้การด าเนินงานเป็นไปได้อย่างสะดวกมากขึ้น
6. เสนอเพิ่มอ านาจให้แก่เจ้าหน้าที่ กสม. โดยเจ้าหน้าที่รับเรื่องสามารถมี
อ านาจตัดสินใจได้ว่า เรื่องใดที่รับพิจารณาหรือไม่รับพิจารณา แล้วในกรณีที่
รับพิจารณาก็สามารถส่งต่อให้คณะอนุกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบต่อไปได้เลย
ดังนั้น กระบวนการกลั่นกรองจะไม่มี เพื่อให้เรื่องที่ร้องเรียนส่งถึงผู้เชี่ยวชาญ
เฉพาะด้าน (อนุกรรมการในแต่ละชุด) ได้เร็วที่สุด
7. จากแผนผัง เสนอให้รวมขั้นตอนที่ 1-13 โดยให้ทีมงานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่
กสม. ท าแผนการท างาน เช่น ก าหนดว่าใน 30 วันจะต้องท าสิ่งใดบ้าง แล้ว
ค่อยน าเสนออนุกรรมการ
8. ตัดกระบวนการติดตามที่แยกออกมาต่างหากออก เนื่องจากกลุ่มที่ท าการ
่
ตรวจสอบ จะเข้าใจบริบทของเรื่องร้องเรียนนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ฝาย
ตรวจสอบก็ควรจะท าหน้าที่ติดตามด้วย
9. แยกกลุ่มงานที่ท าหน้าที่ไกล่เกลี่ยออกมาต่างหากเป็นอีกคณะหนึ่งได้ โดยให้
มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาท าหน้าที่ไกล่เกลี่ยโดยเฉพาะ น่าจะมีประโยชน์
มากกว่าการที่ใช้บุคลากรภายนอกมาไกล่เกลี่ย
10. ลดระดับความเข้มข้นในการตรวจสอบข้อเท็จจริงลง เนื่องจากผลการ
ตรวจสอบไม่ได้ลงไปถึงในระดับศาล เอาให้รู้เพียงว่าสุดท้ายเป็นการละเมิด
หรือไม่ละเมิด เพื่อเป็นการช่วยลดระยะเวลาขั้นตอนในการตรวจสอบ
11. ขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ในเชิงรุกคือ จัด
อบรมให้ความรู้แก่ภาคประชาชน และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าเราเป็น
ใคร ท าอะไร มีกฎกติกา กรอบการท างานอย่างไร และให้ความรู้เรื่องสิทธิ
มนุษยชน
8.4.2 ศักยภาพของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ
ั
พบว่าเจ้าหน้าที่บางส่วนมีปญหาในการสนับสนุนคณะอนุกรรมการ ในขั้นตอน
การตรวจสอบท าให้เกิดความล่าช้า ขณะที่บางส่วนคณะอนุกรรมการต้องเข้ามา
- 573 -

