Page 696 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 696
ดังนั้น กระบวนการกลั่นกรองจะไม่มี เพื่อให้เรื่องที่ร้องเรียนส่งถึงผู้เชี่ยวชาญ
เฉพาะด้าน (อนุกรรมการในแต่ละชุด) ได้เร็วที่สุด
7. กลุ่มที่ท าการตรวจสอบ จะเข้าใจบริบทของเรื่องร้องเรียนนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี
่
ดังนั้น ฝายตรวจสอบก็ควรจะท าหน้าที่ต่อเนื่องในส่วนของกระบวนการ
ติดตามด้วย
8. แยกกลุ่มงานที่ท าหน้าที่ไกล่เกลี่ยออกมาต่างหากเป็นอีกคณะหนึ่งได้ โดยให้
มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาท าหน้าที่ไกล่เกลี่ยโดยเฉพาะ น่าจะมีประโยชน์
มากกว่าการที่ใช้บุคลากรภายนอกมาไกล่เกลี่ย
9. ลดระดับความเข้มข้นในการตรวจสอบข้อเท็จจริงลง เนื่องจากผลการ
ตรวจสอบไม่ได้ลงไปถึงในระดับศาล เอาให้รู้เพียงว่าสุดท้ายเป็นการละเมิด
หรือไม่ละเมิด เพื่อเป็นการช่วยลดระยะเวลาขั้นตอนในการตรวจสอบ
8.5 ด้านการด าเนินการภายหลังพิจารณาเสร็จสิ้น
8.5.1 คุณภาพรายงานผลการตรวจสอบ
ั
เป็นปจจัยส าคัญที่จะน ามาสู่การแก้ไขเยียวยาการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดย
ข้อจ ากัดดังกล่าวจากผลการวิจัยเชิงส ารวจพบว่าอยู่ในระดับ “ปานกลาง” ค่าเฉลี่ยเท่ากับ
3.62 นอกจากนี้ข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม ชี้ให้เห็นว่าข้อจ ากัดดังกล่าวมีเหตุผลมาจาก
หลายส่วน ดังข้อมูล
มีบ้างที่ออกรายงานไป แต่มาตรการมันใช้บังคับไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของ
หน่วยงานนั้น หรือบางครั้งส่งเรื่องไปผิดหน่วยงาน
คุณภาพของรายงานที่ดีจะต้องถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถ้วน และเป็นจริง แต่
ั
ในทางปฏิบัติพบปญหาว่า รายงานผลการตรวจสอบไม่เป็นไปตามประสงค์
ของผู้ร้อง เพราะติดขัดด้วยเงื่อนไขของข้อกฎหมาย เป็นต้น
คุณภาพของรายงานบางครั้งก็เกิดจากกรรมการฯ ไม่ได้ให้ความเอาใจใส่ใน
รายงาน หรือสั่งการโดยไม่ได้อ่านข้อเท็จจริงต่างๆ จากการตรวจสอบ จึงท า
ให้ตัวรายงานไม่ครอบคลุมในข้อกฎหมาย และขาดความน่าเชื่อถือ
แนวคิดการแก้ไขปัญหา
การแก้ไขเรื่องคุณภาพของรายงานผลการตรวจสอบ ประกอบด้วยหลายมิติ
อย่างไรก็ตามความแม่นย าด้านข้อกฎหมาย และคุณภาพข้อมูลประกอบการตรวจสอบ
- 577 -

