Page 551 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 551
้
จะทราบว่าเป็นเรื่องที่ศาลรับฟองต้องใช้เวลาตรวจสอบและรอเวลาด าเนินการ จึงท าให้เกิดความ
ล่าช้าในการด าเนินการและเกิดความซ ้าซ้อนระหว่างหน่วยงาน ท าให้สิ้นเปลืองทรัพยากรแผ่นดิน
ั
-ปญหาการด าเนินการร้องเรียนในเชิงระบบ เนื่องจากการพิจารณาข้อ
ั
ร้องเรียนท าเป็นรายกรณี ซึ่งท าให้ผลการวินิจฉัยแก้ปญหาได้เฉพาะเรื่องที่ร้องเรียนเท่านั้น ยัง
ไม่ได้มีการศึกษาในเชิงลึก และการวิเคราะห์เชิงระบบ อันเป็นการปฏิบัติงานเชิงรุก ซึ่งจะท าให้
ั
สามารถเสนอแก้ไขปญหาข้อร้องเรียนในภาพรวมได้ทั้งระบบ เป็นวิธีการท างานที่มีประสิทธิภาพ
มากขึ้น และสามารถลดปริมาณเรื่องร้องเรียนลงได้
-ตัวแทนที่หน่วยงานส่งมาให้ข้อมูลในการตรวจสอบ ในบางครั้งไม่ได้เป็น
ตัวแทนที่แท้จริงที่สามารถให้ข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น การส่งตัวแทนมา
ประชุมและไม่สามารถตอบค าถามได้
ั
-มีปญหาอุปสรรคในการคุ้มครองสวัสดิภาพความปลอดภัยแก่ผู้ให้ข้อมูล
ในการตรวจสอบ เนื่องจากไม่มีกลไกคุ้มครองผู้ให้ข้อมูล ท าได้เพียงช่วยปกปิดข้อมูลของผู้ร้อง
และผู้ที่เกี่ยวข้อง
-การบังคับลงโทษ (กรณีไม่ให้ความร่วมมือ) พบว่า มีการก าหนด
บทลงโทษไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2552 แต่ที่
ผ่านมายังไม่เคยน ามาตราการลงโทษมาใช้ เนื่องจากขัดต่อเจตนารมณ์ของการก่อตั้งผู้ตรวจการ
แผ่นดิน
8) กระบวนการสรุปเสนอมาตรการแก้ไข
จุดแข็ง/จุดเด่น
การใช้คนใน-คนนอก พบว่ามีจุดแข็งในประเด็นต่อไปนี้
(1) ในกรณีคนใน ถือว่าเป็นจุดแข็ง เนื่องจากเป็นหน้าที่โดยตรง มี
ประสบการณ์รับผิดชอบมาหลายเรื่องร้องเรียน ทราบกระบวนการวิธีการในการได้ข้อมูล
(2) ในกรณีคนนอก ถือว่าเป็นจุดแข็ง เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ
ด้าน ท าให้ช่วยเสริมเพิ่มเติมในส่วนที่คนในขาดหายไปได้
ั
-การท างานสามารถท าข้อสรุปการแก้ปญหาได้อย่างชัดเจนถูกต้อง
ครบถ้วน ชัดเจน
ั
-การสรุปรายงานการแก้ปญหา ส่วนใหญ่มีความเป็นไปในการน ามา
ปฏิบัติ
- 445 -

