Page 70 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 70
๖๑
รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”
การดูแลเราใช้กฎหมายฉบับไหนดูแล” ซึ่งค าถามเหล่านี้เราก็ถามกันมาเป็น ๑๐ แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการ
แก้ไข จนถึงปัจจุบันเราก็ยังมีผู้ลี้ภัยอยู่ เป็นผู้ลี้ภัยจากการสู้รบประมาณ ๑๔๐,๐๐๐ กว่าคน ใน ๙ ค่าย ๔
จังหวัด หลาย ๆ คณะที่ลงพื้นที่ไปดูก็สอบถามว่า “พื้นที่พักพิงทั้ง ๙ แห่ง ถูกตั้งขึ้นโดยใช้อ านาจกฎหมาย
อะไร” การที่อนุญาตให้คน ๑๔๐,๐๐๐ อยู่ในประเทศไทยนั้น อนุญาตให้อยู่โดยใช้กฎหมายอะไร
นอกเหนือจากนั้นเราก็ยังมีผู้ลี้ภัยที่ไม่ได้อยู่ในค่ายด้วยเหมือนกัน เป็นผู้ลี้ภัยที่มาจากประเทศอื่น
ที่ไม่ใช่พม่าก็หลาย ๑,๐๐๐ คน ตรงนี้ก็เป็นช่องว่างของกฎหมายที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้มีแต่เฉพาะในประเทศ
ไทยด้วยกันเองที่เราเห็นช่องว่าง ประชาคมระหว่างประเทศเขาก็เห็นช่องว่างนี้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งประเทศ
ไทยเราเป็นภาคีสมาชิกของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอีกหลายฉบับ เช่น กติการะหว่าง
ประเทศ สิทธิทางพลเมือง สิทธิทางการเมือง ฯลฯ ที่ก าหนดสิทธิการลี้ภัยไว้ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน ก็ได้ก าหนดไว้ถึงสิทธิไม่ถูกผลักดันกลับ และยังมีอนุสัญญาฉบับอื่น ๆ อีก
ซึ่งประเทศไทยถูกถามในทุกเวทีว่า “เราจัดการผู้ลี้ภัยอย่างไรโดยที่ไม่มีกฎหมาย และการที่ประเทศไทย
ไม่ได้เข้าไปเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยนั้น ก็ได้รับข้อเสนออย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด”
ล่าสุดประเทศไทยเราไปรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่กรุงเจนิวา ของสหประชาชาติ ซึ่งก็มีกว่า ๓๐
ประเทศ ที่มีข้อเสนอให้ประเทศไทยนั้นเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ซึ่งล่าสุดก็ทราบ
จากทางตัวแทนกระทรวงต่างประเทศว่า “มีแนวโน้มว่าประเทศไทยจะไปตอบในเดือนมีนา (๒๕๕๕)
ที่กรุงเจนิวาว่า เรายังคงไม่เข้าไปเป็นภาคี แต่เราอยากที่จะพิจารณา”
ตรงนี้เป็นประเด็นส าคัญที่ผู้เกี่ยวข้องกับในเรื่องสถานการณ์ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบควรจะต้องมา
พิจารณากันว่า “บทบาท ท่าทีดังกล่าวนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการผู้ลี้ภัยหรือไม่ อย่างไร”
นอกเหนือจากสิทธิในการลี้ภัยที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าไปเป็นภาคีแล้ว
หลักในการไม่ผลักดันกลับซึ่งตรงนี้จะเกี่ยวข้องกับรายงานฉบับที่ ดร.จตุรงค์ ได้ท ามาสืบเนื่องจาก
สถานการณ์ที่มีผู้ลี้ภัยจากการสู้รบเข้ามาในประเทศไทย และประเทศไทยถูกต าหนิว่าเราผลักดันคนที่ลี้ภัย
ความตายจากการสู้รบเข้ามาออกนอกประเทศไทย ซึ่งประชาคมโลก และองค์การสหประชาชาติบอกว่า
“ประเทศไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง”
อีกทั้งหลักการไม่ผลักดันกลับนั้นยังเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งทุกประเทศให้
การยอมรับ แม้ว่าจะไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้นการที่เราจะผลักดันใครกลับไปนั้นก็เป็นการละเมิด