Page 57 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 57

๔๘
                                       รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”




                  เป็นประชาคมเดียวกัน เขาก็สามารถที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ สิ่งที่เราก าลังท าอยู่ตอนนี้มันล้าสมัยไป

                  แล้ว แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือว่า “เราจะท าอย่างไรในการเข้าไปสู่ตรงจุดนั้น และศักยภาพในการแข่งขันของ


                  ประเทศไทยต่อไป”


                         และอีกประเด็นในเรื่องของการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑  ถ้า

                  ไทยเข้าเป็นภาคีอ านาจจะอยู่ในมือเรา UN  และต่างประเทศจะไม่สามารถที่จะมาต าหนิ วิพากษ์วิจารณ์

                  สิ่งที่เราท า เนื่องจากเราเป็นเจ้าของกฎหมาย ถ้าเราพูดถึงค านิยามของ “คนที่เป็นผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ” ใน


                  มาตรา ๑ ของอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย จะพบว่า มีปัญหาคือเข้ามาแล้วไม่ได้กลับไป เพราะสถานการณ์ไม่

                  ดีขึ้น จริง ๆ แล้วเราติดกับตัวเอง เพราะบอกว่า “เขาเป็นผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ” มันไม่มีจุดสิ้นสุด และเรา

                  ไม่ได้ก าหนดด้วยว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร เขาก็อยู่ในค่าย ๒๐ กว่าปี


                         แต่ถ้าดูมาตรา ๑ ของอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย จะพบว่า “คนที่จะลี้ภัย จะต้องลี้ภัยจาก


                  การถูกประหารด้วยสาเหตุ ๕  ประการ” นั่นก็คือปัจเจก อัตราการปฏิเสธผู้ลี้ภัยของ UN  อยู่ที่ร้อยละ ๙๐

                  หมายความว่าถ้าเข้ามา ๑๐๐ คน ถ้าใช้เกณฑ์ของเราก็จะรับ ๑๐๐ คน แต่ UN รับแค่ ๑๐ คน เพราะเขา

                  บอกว่าตามอนุสัญญา และอนุสัญญาก็ก าหนดไว้ด้วยว่า “ถ้าสถานการณ์ดีขึ้นก็สามารถที่จะถอน

                  สถานภาพได้” ปัจจุบันก็เพิ่งถอนชาวศรีลังกาไปทั้งกลุ่มและส่งกลับ ซึ่งสามารถท าได้อย่างถูกต้องตาม

                  หลักกฎหมายระหว่างประเทศ และถ้าประเทศไทยเข้าไปเป็นภาคีเราก็จะสามารถด าเนินการต่าง ๆ เหล่านี้

                  ได้



                         ในมิติของการดูแลผู้หนีภัยสงครามเห็นว่าควรจะเปลี่ยนจากการที่ให้ผู้ให้ทุนไปให้ NGOs ฝรั่ง ให้

                  ผู้ให้ทุนมาให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขในการดูแล ท าให้เราก็สามารถท าได้ตาม

                  มาตรฐานของเราเลย โดยที่ไม่ต้องควักกระเป๋ าของเราจ่าย เราบอกเขาได้ว่า “ถ้าอยากให้เด็กได้เรียน

                  หนังสือก็จ่ายมา เราก็จัดให้” “อยากจะให้ได้รับการดูแลสาธารณสุขที่มีมาตรฐานก็จ่ายมา เราดูแลให้”


                  ขณะที่แต่ละประเทศให้ตกปีละ ๖๐ ล้านเหรียญ ถ้าแยกออกมาเป็นประเภทเอามาให้กระทรวงศึกษาธิการ

                  และสาธารณสุขมาบริหาร เด็กทุกคนน่าจะได้รับการบริการที่ดี”


                         กลไกและรูปแบบในการบริหารจัดการคงจะต้องมาพิจารณากันใหม่ในบริบทปัจจุบัน รวมถึงการ

                  อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เรื่อยว่า “ถ้าคนเหล่านี้กลับไป เขาจะรู้สึกดีกับประเทศไทย เป็นมิตรกับ


                  ประเทศไทย” ยกตัวอย่าง กัมพูชา  ก่อนที่สถานทูตไทยจะถูกเผา สภาความมั่นคงแห่งชาติเข้าใจว่า
   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61   62