Page 59 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 59

๕๐
                                       รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”




                  เป็นอันดับ ๙  ของโลก” ท าให้บิดเบือนภาระของรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบแก้ไขปัญหา รวมทั้งละเลยเรื่อง

                  สิทธิของประชาชนที่ต้องสูญเสียไปมากมาย เราต้องเข้าใจว่าความคิดแบบหนึ่งอาจจะดีส าหรับยุคสมัย


                  หนึ่ง แต่สมัยนี้ความคิดแค่การให้ทานอย่างเดียว ได้ละลายความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ต้องเข้าไปดูแล

                  ผู้ลี้ภัยว่า เราต้องมีความคิดแบบ “สิทธิมนุษยชนที่เคารพหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แค่ไหน” เช่น รัฐบาล

                  ที่ดูแลวิกฤตน ้าท่วมต้องมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร สิทธิการมีที่ดินท ากิน และ

                  สิทธิแรงงาน ฯลฯ แต่ภาพของการให้ทานเป็นอันดับ ๙ ของโลก ได้บิดเบือนหน้าที่ของรัฐบาลทั้งหมด



                         ประเด็นที่ ๓ ส่วนราชการท างานแบบแยกส่วน ที่มองเห็นเรื่องสิทธิมนุษยชนมากที่สุดน่าจะเป็น

                  กระทรวงการต่างประเทศ  แต่การท างานแบบแยกส่วน ท าให้ในการดูแลปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัยที่ต้องการดูแล

                  แบบภาพรวมไม่เกิดขึ้น สุดท้ายเลยท าตามความคิดของคนไทยที่คิดว่าไทยเราเป็นลูกพี่ คิดแบบชาตินิยม

                  คือ คนไทยต้องเก่งกว่าพม่า ปัญหาอย่างนี้เลยท าให้วิธีคิดในการดูแลพลเมืองที่อยู่ในพรมแดน  ไม่ได้

                  ค านึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน วิธีคิด ๒-๓  อย่างนี้ จึงท าให้รัฐไทยการบริหารจัดการเรื่องผู้ลี้ภัยออกมาเป็น

                  เรื่องของความผิด ไม่ถูกฎหมาย เช่น กลายเป็นแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย


                  จนกลายเป็นช่องทางท ามาหากินที่มิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ต ารวจเรียกค่าต๋งจากนักธุรกิจ มีเรื่อง

                  การค้ามนุษย์ ประเด็นเหล่านี้จึงเป็นปัญหาที่สะสมในเรื่องผู้ลี้ภัยด้วย ดังนั้น ก่อนอื่นวิธีคิดเรื่องผู้ลี้ภัยต้อง

                  มองเรื่องของคนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ.๑๙๕๑ ที่จะช่วยให้

                  เรามองเห็นปัญหาและแก้ไขอย่างถูกต้องเป็นสิ่งที่รัฐไทยต้องยอมรับ



                         นอกจากนี้ ใน พ.ศ. ๒๕๕๘  รัฐไทยถูกบีบบังคับในเรื่องของกระแสโลกาภิวัตน์หลายด้าน ขณะนี้

                  ภาคธุรกิจได้ข้ามชาติไปแล้ว   มีบริษัทของคนไทยไปลงทุนที่เมืองทวาย การสร้างเขื่อนที่แม่น ้าสาละวิน

                  แล้วยังข้ามไปลงทุน ที่ลาวและกัมพูชา  ขณะเดียวกันคนต่างชาติชาวฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ได้เดินทางมา

                  ลงทุนที่ประเทศไทย ดังนั้นกระแสโลกาภิวัตน์ไม่มีพรมแดนเรื่องการลงทุน ด้านหนึ่งอาจจะมองว่าสงคราม

                  ลดลง แต่ผมกลับมองว่าความขัดแย้งเรื่องพลเมืองจะสูงขึ้น โดยเฉพาะความขัดแย้งในเรื่องสิทธิชุมชน

                  พลเมืองแต่ละประเทศจะลุกขึ้นมาต่อต้านมากขึ้น กระแสการไหลเวียนของคนจะห้ามไม่ได้ เมื่อห้ามไม่ได้


                  ความขัดแย้งเรื่องการลงทุนต่าง ๆ ก็จะเข้ามาเป็นตัวแปรในการเปลี่ยนแปลง การข้ามย้ายของคนในเรื่อง

                  ของการท ามาหากินเพื่อความอยู่รอด อาจจะเป็นตัวช่วยลดค าถามเรื่องสงคราม พอมีเรื่องการลงทุนก็มี

                  เรื่องผลประโยชน์ ก็จะมีการแย่งชิงผลประโยชน์ จึงมีประเด็นที่น่าคิดต่อไปว่า การก้าวสู่ประชาคมอาเซียน

                  ใน พ.ศ. ๒๕๕๘  ประชาชนทั่วทั้งภูมิภาคจะได้รับผลประโยชน์จริงหรือ
   54   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64