Page 52 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 52

๔๓
                                       รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”




                         ข้อแรกทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เป็นปัญหาเรื้อรังที่ยาวนาน และส่งผลต่อความมั่นคง ข้อที่สอง

                  เรื่องการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผมคิดว่าอันนี้คือปมจากปัญหาข้อที่ ๑  ที่กรรมการสิทธิแห่งชาติ


                  เข้ามาเกี่ยวข้อง และพวกเราต้องมานั่งพูดคุยกัน


                         คนที่หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยมีมากกว่า ๑๐,๐๐๐  คน หลังจากการเลือกตั้งในพม่า พ.ศ.

                  ๒๕๕๓  ที่เราผลักคนประมาณ ๒๐,๐๐๐  คน กลับไป เมื่อวันที่ ๘  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓   บางช่วง

                  ตัวเลขขึ้นไปถึงกว่า ๑๐,๐๐๐  คน ใน ๔๐  กว่าจุด ทั้งหมดไม่เป็นข่าว เพราะว่าเป็นข่าวไม่ได้ ปมทั้ง ๒


                  ปมนี้ คือ “ความมั่นคง” กับ “หลักสิทธิมนุษยชนสากล” ค าถาม คือ “จะท าอย่างไรให้มันยั่งยืนและสมดุล”

                  ผมคิดว่าเราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ดังนั้น ผมจึงไม่คิดว่าจะไปทางใดทางหนึ่ง

                  มากเกินไป จึงเลือกใช้ค าว่า “สมดุล” ผ่านหลักมนุษยธรรม กฎหมายระหว่างประเทศ หลักรัฐศาสตร์ และ

                  จะทิ้งท้ายด้วยการทบทวนดูว่าประวัติศาสตร์ได้สอนอะไรกับเราเกี่ยวกับปัญหาเรื่องชายแดนไทย-พม่าที่

                  เรื้อรังมา ไม่ใช่เฉพาะที่มีการตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗  เพราะมันเรื้อรังไปมากกว่า

                  นั้นอีก



                         หลักสิทธิมนุษยชนถูกพัฒนามาอย่างกว้างขวางหลังจากปี ค.ศ. ๑๙๔๘ ในปฏิญญาสากล อยู่ใน

                  เรื่องของ “คณะกรรมการข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย” ถ้าพูดถึงหลักสิทธิมนุษยชนสากลซึ่งมีฐานอยู่ที่หลัก

                  มนุษยธรรม ไม่มีข้อถกเถียงที่คนเหล่านี้ที่ข้ามมาจากพม่าพึงได้รับการดูแล เพราะเป็นประเด็นทาง

                  ศีลธรรม และตามหลักการกฎหมายระหว่างประเทศ



                         อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑  กติการะหว่างประเทศ อนุสัญญาต่อต้านการ

                  ทรมาน อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ต่าง ๆ เหล่านี้ให้ความส าคัญไปที่ภาคีพึงจะต้องใส่ใจกับผู้ที่ข้ามแดน

                  มา หมายความว่า บางอนุสัญญาเหล่านี้รัฐไทยเป็นภาคีอยู่แล้ว เมื่อรัฐไทยเป็นภาคีอยู่แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่

                  จะไม่ปฏิบัติตามภาคี เพียงแต่ว่าในงานของ ดร.จตุรงค์ และทีมได้ชัดว่ามันมีปมอยู่บ้างในกรณีของรัฐไทย


                  เนื่องจากไม่ท าให้ชัดว่า “อนุสัญญาเหล่านั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายรัฐไทย” ดังนั้น จึงเป็นข้ออ้าง

                  ที่จะไม่กระท าอะไรหลาย ๆ อย่างที่พึงกระท า แต่ถ้ามองจากหลักสิทธิมนุษยชนสากลเราไม่มีทางเลือก ซึ่ง

                  ผมวางตรงนั้นไว้ในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ


                         กฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้มีเฉพาะกฎหมายลายลักษณ์อักษร แต่มีกฎหมายจารีตประเพณี


                  ด้วย ซึ่งเป็นบรรทัดฐานที่ส าคัญ หมายความว่า “แม้เราจะไม่เป็นภาคีสมาชิกแต่เราก็ถูกผูกพันในการที่จะ
   47   48   49   50   51   52   53   54   55   56   57