Page 49 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 49
๔๐
รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”
แห่งชาติเป็นผู้ดูแลนโยบายหลัก ซึ่งการประชุมครั้งนั้นกล่าวถึงประเด็นต่าง ๆ อย่างเช่น พลวัติในอาเซียน
พื้นที่ของชนกลุ่มน้อย และกลุ่มต่าง ๆ ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมานั่งคุยกันในเรื่องผู้หนีภัยต่าง ๆ กระทรวง
การต่างประเทศพยายามส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องผู้หนีภัย เพราะกระทรวงการ
ต่างประเทศไม่อยากถูกมองว่าให้แต่ที่อยู่อาศัยอย่างเดียว และไม่ท าอะไรเลย
ส าหรับเด็กและเยาวชนที่เป็นลูกหลานของผู้หนีภัยสงคราม ต้องมาดูธรรมชาติของคนที่เรียนใน
นั้นด้วยว่าเป็นเฉพาะเด็ก พ่อกับแม่อยู่ที่ไหน แน่นอนว่าเด็กไม่ได้ไปเช้า-เย็นกลับ ถ้าหนีภัยจากการสู้รบ
เหตุใดจึงเลือกไม่เข้าไปอยู่ในพื้นที่พักพิง ขณะที่พื้นที่พักพิงก็มีโอกาส ถ้าไม่สามารถที่จะกลับได้ก็มีโอกาส
ที่จะได้ไปตั้งถิ่นฐานประเทศที่ ๓ คงต้องมานั่งดูว่าเหตุผล คืออะไรกันแน่
ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ กระทรวงการ
ต่างประเทศไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่เข้าเป็นภาคี แต่การเข้าเราต้องมาดูความพร้อมด้วยเหมือนกัน และก็
ไม่ได้เป็นข้ออ้างตลอดกาลของไทย เพราะสิ่งที่เราท ามันดีอยู่แล้ว และมันก็ดีกว่าหลายชาติที่ท า มันเป็น
ข้อเท็จจริงที่เราท าอยู่ เราก็มีการคุยหารือกัน และมีคณะท างานพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ซึ่งอธิบดีกรม
องค์การระหว่างประเทศเป็นประธาน และจริง ๆ ก็ประสงค์ที่จะใช้ผลจากการหารือที่ไปประชุมมา
ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย
ผู้แทนกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า กระทรวงฯ ได้รับมอบหมายจากสภาความมั่นคงแห่งชาติให้
รับผิดชอบควบคุมดูแลค่ายผู้ลี้ภัย ๙ แห่งใน ๔ จังหวัด ณ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผู้ลี้ภัยอยู่
ทั้งสิ้น ๑๐๑,๓๑๒ คน อยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน (๔ แคมป์ ๓๘,๐๓๕ คน) จังหวัดตาก (๓ แคมป์
๕๖,๑๙๒ คน) จังหวัดราชบุรี (๑ แคมป์ ๔,๒๘๑) จังหวัดกาญจนบุรี (๑ แคมป์ ๒,๘๐๔ คน) การ
ควบคุมดูแลผู้ลี้ภัยจะด าเนินการให้ความช่วยเหลือตามหลักขั้นพื้นฐานด้านมนุษยธรรม คือ ให้ความ
ช่วยเหลือเฉพาะเรื่องความจ าเป็นขั้นพื้นฐาน โดยประสานงานกับ UNHCR ซึ่งช่วยเหลือเรื่องจัดท า
ทะเบียน การย้ายพื้นที่พักพิง และเตรียมการส่งกลับ
นอกจากนี้ยังมีองค์การพัฒนาเอกชน (NGOs) ซึ่งเป็นองค์การการกุศลเข้าช่วยเหลือด้านความ
จ าเป็นพื้นฐาน เช่น การแพทย์ การศึกษา ฯลฯ ในแคมป์ มีทั้งหมด ๑๘ องค์การ เป็นของส่วนราชการ ๒
หน่วย ได้แก่ สมาคมวางแผนครอบครัว และโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนดูแลรักษาโรคมาลาเรีย ใน