Page 76 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกับการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน
P. 76

๗๒





                       ตามศาสนาบัญญัติ แตก็ไดบัญญัติแสดงความมุงหมายไวดวยวา การใชเสรีภาพดังกลาวจะตองไมเปน
                       ปฏิปกษตอหนาที่พลเมือง และไมเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

                       แมวาจําเลยจะมีสิทธิเสรีภาพดังกลาว แตการที่จําเลยขอลาออกจากการปกครองของมหาเถรสมาคม

                       และแยกตัวมาตั้งพุทธสถานสันติอโศก โดยวางกฎระเบียบตางๆ และพยายามปฏิบัติตนตามพระธรรม
                       วินัยก็ตาม แตก็เปนการกระทําที่ฝาฝนพระราชบัญญัติคณะสงฆ พ.ศ.๒๕๐๕ ที่บัญญัติขึ้นโดยชอบ

                       ดวยรัฐธรรมนูญเพื่อใหการปกครองคณะสงฆเปนไปดวยความเรียบรอย ปองกันมิใหบุคคลผูมีเจตนา

                       ไมสุจริตอาศัยรมเงาพระพุทธศาสนามาหาประโยชนใสตน ดังนั้นจําเลยจึงตองปฏิบัติตามกฎหมาย
                       ดังกลาว” การกระทําที่ฝาฝนพระราชบัญญัติคณะสงฆของจําเลยในกรณีนี้จึงมีลักษณะเปนการใชสิทธิ

                       และเสรีภาพเกินขอบเขตที่บทบัญญัติแหงรัฐธรรมนูญใหความคุมครอง

                                     นอกจากนี้ ยังมีกรณีศาลฎีกาหยิบยกบทบัญญัติในเรื่องสิทธิและเสรีภาพ
                       มาใชตีความบทบัญญัติกฎหมายที่ใชบังคับแกคดี เชน ในคําพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙๓/๒๕๔๓

                       เรื่องนี้ศาลฎีกาตัดสินวา “พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ.๒๔๘๒ มาตรา ๒๑(๙)
                       ที่บัญญัติถึงการเปนบุคคลตองหามมิใหใชสิทธิสมัครรับเลือกตั้งวา  “...ตองคําพิพากษาหรือคําสั่ง

                       ที่ชอบดวยกฎหมายใหจําคุก และถูกคุมขังอยูโดยหมายของศาล หรือโดยคําสั่งนั้น”  เปนบทบัญญัติ

                       ที่ตัดสิทธิของบุคคล จึงตองตีความในทางรักษาสิทธิของผูตองถูกตัดสิทธิ โดยคํานึงถึงบทบัญญัติ
                       ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๓๓ วรรคสองที่บัญญัติวา

                       “กอนมีคําพิพากษาถึงที่สุดแสดงวาบุคคลใดไดกระทําความผิด จะปฏิบัติตอบุคคลนั้นเสมือน
                       เปนผูกระทําผิดมิได” การที่ผูคัดคานถูกพิพากษาใหจําคุกโดยศาลชั้นตน ซึ่งคดียังไมถึงที่สุด ผูคัดคาน

                       จึงยังไมพนจากตําแหนงกรรมการสุขาภิบาลตามพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ.๒๔๙๕

                       มาตรา ๑๐ (๔)”  คําพิพากษานี้จึงเปนตัวอยางของการใชหลักการแหงสิทธิเสรีภาพที่เกี่ยวกับ
                       การคุมครองสิทธิเสรีภาพสวนบุคคลมาใชตีความพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล

                       พ.ศ. ๒๔๘๒ เปนตน

                                     ๒) การคุมครองสิทธิและเสรีภาพโดยศาลปกครอง
                                     การที่ประชาชนจะนําคดีที่เกี่ยวพันกับสิทธิและเสรีภาพขึ้นสูการพิจารณาของ

                       ศาลปกครองไดนั้น นอกจากจะตองเปนไปตามหลักเกณฑของมาตรา ๒๒๓ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
                       กลาวคือ คดีดังกลาวจะตองเปนคดีปกครอง อันไดแก คดีที่อันเปนขอพิพาทระหวางหนวยงานของรัฐ

                       หรือเจาหนาที่ของรัฐกับเอกชน หรือเปนขอพิพาทระหวางหนวยงานของรัฐหรือเจาหนาที่ของรัฐ

                       ดวยกันเองแลว ยังตองเปนไปตามหลักเกณฑของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณา
                       คดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ โดยในมาตรา ๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาวกําหนดประเภทของ

                       คดีปกครองที่สามารถนําเสนอตอศาลปกครองอันนําไปสูชองทางที่จะสามารถหยิบยกบทบัญญัติ
                       ในเรื่องสิทธิและเสรีภาพมาใชในการพิจารณาตัดสินคดี ซึ่งมีดวยกันทั้งหมด ๖ ประเภทคือ
   71   72   73   74   75   76   77   78   79   80   81