Page 111 - รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
P. 111

ต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก 85
                                                               รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ






                     ในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มาตรา ๒๕๗ วรรคสอง กำาหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไว้ว่า

                     คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะต้องคำานึงถึง “ผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติและประชาชน”
                     ประกอบด้วย

                                ปัญหาที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ คือ ผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติและประชาชนก็ดี
                     ผลประโยชน์ของชาติในเรื่องสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ และสวัสดิภาพของประชาชนก็ดี

                     ยังไม่ได้รับความสำาคัญมากเท่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลประโยชน์ของ

                     ภาคอุตสาหกรรม  ขณะเดียวกัน ความเข้าใจเรื่องความเกี่ยวเนื่องระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิทธิที่
                     เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมก็ดี  ความเข้าใจคำาว่า “สิทธิชุมชน” ก็ดี  ยังมีจำากัด ก่อให้เกิดอุปสรรคในการ
                     ดำาเนินการปกป้องคุ้มครองสิทธิชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม การให้น้ำาหนักแก่ผลประโยชน์ผิดที่ ประกอบ

                     กับข้อจำากัดในความเข้าใจเรื่องสิทธิ  นำาไปสู่การบริหารราชการและการออกกฎหมายของฝ่ายบริหาร

                     ที่ทำาไปตามแบบพิธี เพียงให้เกิดกระบวนการอนุญาตตามมา  โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับการปกป้อง
                     คุ้มครองสิทธิชุมชนมากเท่ากับการปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ


                            ๔.๖ การกำาหนดนโยบายและการใช้กฎหมายขัดกับหลักธรรมาภิบาลที่ดี


                                ประเทศไทยได้สร้างระบบบริหารราชการภายใต้หลักธรรมาภิบาลหรือการบริหารจัดการ
                     บ้านเมืองที่ดี (Good Governance) เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจของ
                     ภาครัฐมากขึ้น  ส่งผลต่อการเพิ่มหลักประกันและคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน  โดยภาครัฐ

                     มีการบริหารจัดการที่โปร่งใส สามารถถูกตรวจสอบโดยประชาชนมากขึ้น  หลักธรรมาภิบาลที่ดี

                     ประกอบด้วย หลักนิติธรรม (Rule of Law) หลักคุณธรรม (Morality) หลักความโปร่งใส (Trans-
                     parency) หลักการมีส่วนร่วม (Public Participation) หลักความรับผิดชอบ (Accountability)
                     และ หลักความคุ้มค่า (Effectiveness)  หลักธรรมาภิบาลที่ดีได้นำาเข้ามาใช้ในระบบราชการไทย

                     ตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๔๐  โดยวางหลักการดังกล่าวไว้ในหมวด ๕

                     ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ  ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กำาหนดให้รัฐต้องจัดระบบงานของรัฐและระบบ
                     ราชการให้มีประสิทธิภาพ  เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน และความมีประสิทธิภาพใน
                     การปฏิบัติงาน แต่ปัญหาของระบบราชการก็ยังคงดำาเนินอยู่ต่อไป

                                ต่อมา พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา

                     ๓/๑ ได้บัญญัติถึงแนวทางการบริหารราชการตามหลักธรรมาภิบาล โดยในวรรคท้ายของมาตรา ๓/๑
                     ระบุว่าให้นำาหลักธรรมาภิบาลไปขยายความในพระราชกฤษฎีกา จึงมีการออกพระราชกฤษฎีกา

                     ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖  ซึ่งมีบทบัญญัติกำาหนดแนวทาง
                     การบริหารราชการตามหลักธรรมาภิบาลโดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๙ หมวด คือ

                                  หมวด  ๑  การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

                                  หมวด  ๒  การบริหารราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
   106   107   108   109   110   111   112   113   114   115   116