Page 115 - รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
P. 115
ต่อกรณีข้อร้องเรียนของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก 89
รายงานข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๔) ก่อนเริ่มดำาเนินการ ส่วนราชการต้องจัดให้มีการศึกษาวิเคราะห์ผลดีและ
ผลเสียให้ครบถ้วนทุกด้าน กำาหนดขั้นตอนการดำาเนินการที่โปร่งใส มีกลไกตรวจสอบการดำาเนินการ
ในแต่ละขั้นตอน ในกรณีที่ภารกิจใดจะมีผลกระทบต่อประชาชน ส่วนราชการต้องดำาเนินการรับฟัง
ความคิดเห็นของประชาชน หรือชี้แจงทำาความเข้าใจ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงประโยชน์ที่
ส่วนรวมจะได้รับจากภารกิจนั้น แต่ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีได้อาศัยอำานาจตามความใน มาตรา
๑๑ (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ แต่งตั้งคณะกรรมการสี่ฝ่าย
เพื่อแก้ไขปัญหาการปฏิบัติ ตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง และคณะกรรมการดังกล่าวได้ศึกษาข้อมูล
ผลการศึกษาและข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวข้องและจัดให้มีการดำาเนินการรับฟังความคิดเห็นของ
ประชาชนทั่วประเทศ รวม ๖ ครั้ง จากนั้นได้จัดทำาข้อเสนอโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิด
ผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ
จำานวน ๑๘ รายการ แต่ในการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับ
ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ รัฐบาลกลับเร่งดำาเนินการโดยอาศัยมติของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม
แห่งชาติ กำาหนดประเภทและขนาดโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง
ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ เพียง ๑๑ รายการ โดยละเลยต่อ
ข้อเสนอหลายประการของคณะกรรมการสี่ฝ่าย ทำาให้กระบวนการประกาศกำาหนดประเภทและขนาด
โครงการดังกล่าวขาดความโปร่งใส และมิได้มีที่มาจากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
ประการสำาคัญคือ ในการศึกษาวิเคราะห์ผลดีและผลเสียให้ครบถ้วนทุกด้าน
ก่อนเริ่มดำาเนินโครงการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๖๗ วรรคสอง บัญญัติให้องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำาเนินการดังกล่าว แต่ปรากฏว่า การจัดทำาและเสนอร่างกฎหมาย
ว่าด้วยองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๐๓ วรรคหนึ่ง (๑) จึงทำาให้ยัง
ไม่มีการปรับปรุง/แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้สอดคล้องกับการมีองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ มาตรา ๖๗ วรรคสอง
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ด้วย เช่น มาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติ
ฉบับดังกล่าวยังมิได้บัญญัติถึงความเชื่อมโยงในเรื่องการให้ความเห็นประกอบขององค์การอิสระด้าน
สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามนัยมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ กับอำานาจในการประกาศ
กำาหนดประเภท และขนาดของโครงการ หรือกิจการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่มี
ผลกระทบสิ่งแวดล้อมซึ่งต้องจัดทำารายงาน EIA/HIA เป็นต้น
นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่า ในการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา รัฐบาลกำาหนดนโยบาย
และสร้างกลไกรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้นมากมาย แต่ละเลยการพัฒนากลไกการจัดการ
สิ่งแวดล้อม และการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อการจัดการปัญหาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

