Page 221 - สถานการณ์การละเมิดสิทธิแรงงานและบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงานในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
P. 221
บทเรียนการทำงานของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงาน
และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
หนักหน่วงและยาวนานนับแต่เริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ ๑ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานบ่อยที่สุดในบรรดากระทรวงต่างๆ จนถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ไม่มี
ประสบการณ์ด้านปัญหาแรงงาน จึงมีผลให้การผลักดันจากสหภาพแรงงาน นักวิชาการ รวมทั้ง
คณะอนุกรรมการสิทธิแรงงาน ที่ได้เข้าพบปรึกษาหารือเชิงนโยบายกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
แรงงานทุกคน ไม่สามารถมีนโยบาย การตัดสินใจ และความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
ความเดือดร้อนของ “คนทำงาน” แท้จริงจึงไม่ใช่เพียงการเรียกร้องต่อรองกับนายจ้าง
แต่เป็นการต่อสู้เพื่อผลักดันทิศทางการเมือง กฎหมาย และนโยบายของรัฐบาล โครงสร้างการพัฒนา
ทั้งระบบ และเปลี่ยนแปลงทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นแต่การเติบโตของกลุ่มทุนเป็นหลัก
๒. ต้องสร้างความตระหนักร่วมกันต่อทุกฝ่ายในสังคม ทั้งนายจ้างและภาครัฐ ว่าçสิทธิ
แรงงาน คือ “สิทธิมนุษยชน” ซึ่งมีความลึกซึ้งและกว้างไกลกว่ากฎหมายและกฎระเบียบที่บังคับใช้
อยู่ แต่มีพื้นฐานจากรัฐธรรมนูญและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีข้อผูกพัน
กับสากล ในเจตนารมณ์แห่งการส่งเสริมและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ การไม่ถูก
เลือกปฏิบัติ และความเสมอภาค รวมถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และสิทธิในการ
พัฒนาซึ่งเป็นพื้นฐานการพัฒนาสังคมที่แท้จริง
๓. ฐานการคุ้มครองคนทำงานตามกฎหมายด้านแรงงานยังแคบมาก โดยทั่วไปจะเน้นอยู่
ที่คนทำงานภาคเอกชนในโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก ไม่ครอบคลุมลูกจ้างภาครัฐ แรงงาน
นอกระบบ แรงงานภาคเกษตร และคนทำงานอิสระรายย่อย ดังนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย
แต่ละฉบับ แต่ควรมีกฎหมายด้านแรงงานกรอบใหญ่ที่ครอบคลุมคนทำงานทั้งหมดได้ และเป็นฐาน
ของสวัสดิการสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลเองเป็นนายจ้างéรายใหญ่ที่ละเมิดต่อลูกจ้าง
ของภาครัฐจำนวนมหาศาล โดยยกเว้นลูกจ้างภาครัฐไม่ให้ได้รับสวัสดิการแบบข้าราชการ แต่ขณะ
เดียวกัน ก็กีดกันไม่ให้คนทำงานได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน โดยระบุว่ากฎหมาย
แรงงานทุกฉบับยกเว้นกลุ่มลูกจ้างภาครัฐเหล่านี้ ทำให้คนทำงานภาครัฐหลายแสนคนอยู่ในสถานะ
ที่ถูกเอาเปรียบด้านค่าจ้างและสวัสดิการ ความมั่นคงในการทำงาน และขาดเสรีภาพในการรวมตัว
ต่อรองหนักหน่วงยิ่งกว่าลูกจ้างภาคเอกชนทั่วไป
๔. การมีทัศนคติเชิงลบ และความไม่ตระหนักต่อบทบาทที่จำเป็นของสหภาพแรงงาน
และเสรีภาพในการรวมตัวต่อรอง ทั้งที่การมีสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานที่เข้มแข็งเป็นหัวใจ
สำคัญที่สุด และเป็นคำตอบที่จะแก้ไขปัญหาการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิแรงงานได้อย่างแท้จริง
เมื่อประกอบกับกฎหมายยังไม่คุ้มครองผู้ริเริ่มก่อตั้งสหภาพแรงงาน และไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ต่อการคุ้มครองป้องกันการคุกคามกลั่นแกล้งด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อกดดันให้แกนนำและสมาชิก
สหภาพแรงงานลาออกไปเอง จึงทำให้สถานการณ์การละเมิดสิทธิสหภาพแรงงานหนักหน่วงทวีขึ้น
และเป็นสภาพการณ์ที่น่ากังวลที่สุด
และบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงาน ๒๒๑
Master 2 anu .indd 221 7/28/08 9:20:37 PM