Page 117 - สถานการณ์การละเมิดสิทธิแรงงานและบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงานในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
P. 117

การละเมิดสิทธิแรงงาน
                                                                             คนทำงานภาคเอกชน






                      (๖) ควรจะต้องมีการปรับปรุงการพิจารณาคำอุทธรณ์ของลูกจ้างหรือทายาท โดยเฉพาะใน
              การสืบค้นข้อมูล หรือหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ควรตีความ หรือพิจารณาข้อมูลในลักษณะที่กว้าง โดย
              พิจารณาปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง  อันอาจจะเป็นเหตุให้ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเสียชีวิต  มิใช่ต้อง
              ประสบเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้นจึงจะได้รับเงินทดแทน
                      (๗) ควรให้ความรู้แก่นายจ้างและลูกจ้างในกรณีการจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนในแต่ละปี
              เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เข้าใจผิดว่า การที่มีลูกจ้างประสบอันตรายหรือเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการทำงาน
              ทำให้นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้การพิจารณาให้ความช่วยเหลือในขั้นต้นอาจมี
              การบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในสถานประกอบการ เพื่อตนจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ
              	     	 ๕.๑.๓  ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานกรณีลูกจ้างหญิง

              ตั้งครรภ์ มีสาระสำคัญ ดังนี้
                      (๑)  ทัศนคติของนายจ้างไม่ได้มองว่าหญิงมีครรภ์กำลังทำหน้าที่เพื่อสังคม  และความ
              มุ่งหมายแท้จริงในการคุ้มครองลูกจ้างก็คือการคุ้มครองแม่และเด็ก ดังนั้นจึงควรมีการรณรงค์เพื่อ
              ปรับเปลี่ยนทัศนคติดังกล่าว
                      (๒)  นโยบายของรัฐต้องชัดเจนในการคุ้มครองลูกจ้างมีครรภ์  โดยห้ามมิให้นายจ้างออก
              กฎระเบียบหรือแนวปฏิบัติที่อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิของลูกจ้าง เช่น การห้ามตั้งครรภ์ภายใน ๑ ปี
              แรกของการทำงาน ลูกจ้างไม่ได้รับเงินโบนัสเนื่องจากการลากิจเนื่องจากการมีครรภ์ เป็นต้น

                      (๓)  ปัจจุบันมีการเตรียมการร่างกฎหมาย  ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงในครอบครัว
              และสังคม ซึ่งการเลิกจ้างลูกจ้างหญิงมีครรภ์ถือเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบทางสังคมอย่างรุนแรง ดังนั้น
              ควรเพิ่มเติมมาตรการทางกฎหมาย ให้มีการคุ้มครองและการดูแลสวัสดิการแก่ ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ไว้
              ในร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย
              	       (๔)  ปัจจุบันสิทธิของลูกจ้างหญิงมีครรภ์บัญญัติไว้ในกฎหมายด้านแรงงานหลายฉบับ
              เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และ
              พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ดังนั้น ควรปฏิรูปกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้ลูกจ้างหญิง
              มีครรภ์สามารถเข้าถึงสิทธิของตนได้โดยสะดวกและเป็นธรรม
                      (๕) กรณีที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างจำนวนมาก โดยอ้างเหตุผลและความจำเป็นในการผลิต

              หรือการประสบปัญหาขาดทุน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อลูกจ้างหญิงมีครรภ์โดยตรงนั้น จำเป็นจะต้องมี
              มาตรการทางกฎหมายกำหนดให้เจ้าพนักงานของรัฐ มีอำนาจในการตรวจสอบเหตุในการเลิกจ้าง
              เสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเดือดร้อนแก่ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ ดังเช่น กฎหมายของบางประเทศ
                      (๖)  เห็นควรแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน  พ.ศ.  ๒๕๔๑  ให้คุ้มครองและดูแล
              สวัสดิการของลูกจ้างหญิงมีครรภ์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น การปรับปรุงแก้ไขมาตรา ๔๓ และ
              มาตรา ๙๕ หรือเพิ่มเติมมาตรการให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย กรณีเลิกจ้างลูกจ้างหญิงมีครรภ์โดย
              ไม่เป็นธรรมให้เพียงพอกับความเดือดร้อนที่ลูกจ้างได้รับ

              	     	 ๕.๑.๔ ด้านการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง
                      หน่วยงานหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบคือ  กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวง
              แรงงาน คณะอนุกรรมการฯ จึงมีข้อเสนอให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการ ดังนี้


                                                                    และบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงาน ๑๑๗





     Master 2 anu .indd   117                                                                     7/28/08   9:01:19 PM
   112   113   114   115   116   117   118   119   120   121   122