Page 93 - รายงานฉบับสมบูรณ์ เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ สิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
P. 93
กสม. ต้องมีเพื่อน: เสียงมิตรเรียกหา ในฐานะเพื่อนคู่คิดไม่ใช่การสั่งการ
แม้เสียงสะท้อนจากประสบการณ์การร่วมงานกับกสม.จะเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะดี
นักเป็นส่วนมาก อย่างไรก็ตาม เครือข่ายที่มีประสบการณ์ “เอาใจออกห่าง” จากความผิดหวังกับ
กสม. นั้นยืนยันว่ามีความต้องการทำงานร่วมกับกสม. ในฐานะพันธมิตร (partner) และกสม.
จะต้องมีเพื่อนเพื่อที่จะส่งเสียงเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนให้ดังขึ้นเพื่อนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง
ซึ่งในส่วนนี้กสม. จะต้องแสดงให้ความเชื่อมั่นให้เครือข่ายเห็นว่าพร้อมที่จะร่วมงานกับเครือข่ายใน
ฐานะเพื่อนคู่คิดไม่ใช่การสั่งการหรือการอยู่ใต้การบังคับบัญชา
นอกจากนี้ยังมีเสียงสะท้อนขององค์กรและบุคคลที่มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับกสม.
นั้นมีความต้องการทำงานและขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนกับกสม. ไม่ว่าจะเป็นประเด็นสิทธิ
มนุษยชนศึกษาที่กสม.ขับเคลื่อนมาตั้งแต่ชุดที่ 1 เสียงสะท้อนจากประเด็น LGBT ที่กสม. เป็นคน
เปิดประเด็นในเรื่องนี้ หรือเสียงสะท้อนที่แสดงให้เห็นความต้องการที่จะเป็นพันธมิตรในการ
ทำงานขับเคลื่อนในเชิงประเด็นกับกสม. มากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกสม. หลาย
เสียงสะท้อนกล่าวถึงการเริ่มต้นการทำงานที่ดีกับกสม. แต่ไม่ความต่อเนื่อง และกสม.ยังขับเคลื่อน
ประเด็นอย่างไม่เป็นองค์รวมมากนัก
“เราอยากทำงานกับคุณ (กสม.) เพิ่ม เพราะว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้
ทำอะไรกับพวกคุณเลย มีแต่ด่าหรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียว” (สนทนา
กลุ่มภายนอก, 26 มกราคม 2565)
“....ในเรื่องของการจัดสร้างครอบครัวของ LGBT เราเริ่มทำงานกับ
กสม. ตั้งแต่กสม.ชุดของคุณหมอแท้จริงชุดที่ 2 อยากทำต่อค่ะ กสม. เปิด
เวทีรับฟังได้ไหม … ต้องยอมรับว่าในองค์กรหน่วยงานราชการทั้งหมด
กสม.เป็นองค์กรแรกที่นับ LGBT เป็นประเด็นการเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้น
อยากให้เปิดพื้นที่” (สนทนากลุ่มภายนอก, 26 มกราคม 2565)
“กสม.เป็นองค์อิสระ แล้วสิ่งที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงคือการมี
เพื่อน และถ้าประชาชนเองเห็นว่ากสม.ยังสำคัญ แล้วการมีพรป.หรือ
รัฐธรรมนูญแบบนี้ทำให้ไม่สามารถเป็นกลไกที่จะหนุนเสริมเขาได้ เขาก็
พร้อมที่จะมาเคลื่อนร่วม แต่เริ่มต้นต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าการมีอยู่มัน
สำคัญเขาก่อน เขาจึงจะมาเดินด้วย ถ้าการทำงานยังไม่สามารถเรียกร้อง
ความเชื่อมั่นได้ แล้วการที่จะแก้ไขและให้คนมาช่วยส่งเสียงก็อาจจะมีน้อย”
(สัมภาษณ์ KI009, 21 พฤศจิกายน 2564)
“… เรา (Amnesty International Thailand) ทำตั้งแต่ชุดที่ 1 แล้ว
ชุดที่ 2-3 ก็มีโอกาสได้ทำเทรนนิ่งให้กับสื่อมวลชน เราก็เดินสายกันไปทั่ว
หลายภาคเลย และพาสื่อมวลชนลงพื้นที่ เพื่อผลักดันให้เสียงของคนที่ถูก
ละเมิดสิทธิ ได้รับการรับรู้แล้วตอนนั้นเราประสานกับกสม. เพราะว่าเราเอา
เคสที่มีการเรียกร้องจากกสม. แล้วก็ไปทำงานต่อ ซึ่งถือว่าเป็นการทำงาน
ที่ต่อยอดกัน
แต่…เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ผลักดันกันมาสู่รุ่นต่อไป จบคนจบงาน
…
-86-