Page 49 - รายงานฉบับสมบูรณ์ เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ สิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
P. 49
ภาพที่ 4 ลำดับเวลาพัฒนาการของอนุสัญญาแต่ละฉบับและปีที่ไทยเข้าเป็นภาคี
เป็นที่น่าเสียดายว่า หลังจากการลงนามในปี 2491 แล้ว รัฐบาลไทยในหลายยุคสมัยได้ให้การ
ลงนามในพันธกรณีหลักด้านสิทธิมนุษยชนอีกหลายฉบับ แต่มีเพียง 3 ฉบับเท่านั้นที่ลงนามก่อนที่
จะมีการก่อตั้ง กสม. ซึ่งการลงนามในแต่ละอนุสัญญาจะยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างจริงจังตราบใดที่ยัง
ไม่มีการนำหลักการในอนุสัญญาแต่ละฉบับมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงหรือออกกฎหมาย
ภายในประเทศเพื่อแสดงให้เห็นความสอดคล้องกับหลักการในอนุสัญญาฉบับนั้น ๆ ผลกระทบที่
เกิดขึ้นคือ ยังคงมีการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของสนธิสัญญา อนุสัญญา กติการะหว่างประเทศอยู่เป็น
ระยะ ๆ ทำให้มีเรื่องร้องเรียนกล่าวโทษรัฐบาลไทย ณ ที่ประชุมใหญ่สิทธิมนุษยชน องค์การ
สหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวาทุกปี ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย (รายงาน
ผลการปฏิบัติงานประจำปี 2546: 5) กรณีตัวอย่างเรื่องการค้ามนุษย์เด็กหญิงข้ามชาติในภาคเหนือ
ของไทยที่รู้จักกันในนาม “ตกเขียว” และหลังจากนั้นมาก็ยังคงมีขบวนการค้ามนุษย์เด็กหญิงใน
ประเทศเพื่อนบ้านโดยนายหน้าคนไทยที่ยังคงเป็นประเด็นถูกร้องเรียนในปี 2550 แม้ว่าไทยจะลงนาม
ในอนุสัญญาสิทธิเด็กมาตั้งแต่ปี 2532 แล้วก็ตาม (ประชาไท, 2550)
อนุสัญญาและกติการะหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนจำนวน 3 ฉบับที่ไทยลงนาม
หลังจากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน มีดังนี้คือ
1. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ (Convention on the
Elimination of All Forms of Discrimination Against Women: CEDAW) ไทยเข้าเป็น
ภาคีเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2528 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2528 ก่อนที่จะมี
การลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้ราว 10 ปีก่อนหน้านั้น แรงงานหญิงไทยได้ทำงานประท้วง
เรียกร้องสิทธิและสวัสดิการแรงงานอย่างมาก ถือเป็นการต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนที่
ก้าวหน้ามากประเด็นแรก ๆ ของสังคมไทยก็ว่าได้ จนได้รับการนำมาจัดทำเป็นภาพยนตร์
สารคดีขบวนการต่อสู้ของกรรมกรแรงงานหญิงโรงงานฮาร่าในปี 2537 โดยคณาจารย์
-41-