Page 51 - รายงานฉบับสมบูรณ์ เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ สิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
P. 51
ความต้องการที่จำเป็น (need) ต่อการเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ก็จะมองไม่เห็นศักยภาพของมนุษย์
ผู้นั้นที่จะดำรงอยู่ในอนาคตและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้กับโลกได้ เช่น มองไม่เห็นว่ามนุษย์ทารกหนึ่ง
คนต้องการอากาศบริสุทธิ์หายใจ ต้องการนมที่มีสารอาหารที่ดีจากมารดาที่มีสุขภาพดี ต้องการที่อยู่
อาศัยที่มั่นคงปลอดภัยเพียงพอที่จะเติบโตได้ เป็นต้น ในขณะที่ มองในเชิงพัฒนาการของแนวคิด
(concept) ชัยวัฒน์ ชี้ให้เห็นว่า สิทธิมนุษยชนนั้นพัฒนาการมาจากการเริ่มต้นปกป้องสิทธิของ
ปัจเจกบุคคลจากอำนาจรัฐ หรืออำนาจของสังคม และขยายพรมแดนทางความคิดเรื่อยมาจนเป็น
เรื่องของการปกป้องสิทธิผู้หญิง เด็ก สิทธิทางการเมือง สิทธิในทางเศรษฐกิจ สิทธิทาง
สภาพแวดล้อม (ชัยวัฒน์, 2536: 7) ซึ่งเมื่อพิจารณางานศึกษาด้านวิวัฒนาการของมโนทัศน์หรือ
กรอบคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ (2544) ชี้ให้เห็นว่าวิวัฒนาการของ
คำว่า “สิทธิ (rights)” และ “สิทธิมนุษยชน (human rights)” นั้น กรอบคิดเรื่อง “สิทธิ” เกิดขึ้นมา
นานแล้วในระบบฟิวดัลของยุโรปโดยมีหลักฐานชิ้นสำคัญคือ ประกาศกฎบัตรแมกนาคาร์ตา ซึ่งเป็น
เสมือนการประกาศสิทธิหรือความเป็นอิสระของคนอังกฤษในยุคก่อนที่จะมีระบบประชาธิปไตย
เกิดขึ้น กลุ่มแรก ๆ ที่เรียกร้องต่อรองเรื่องสิทธิยังคงเป็นกลุ่มชนชั้นสูงเช่นพระและขุนนาง และสิทธิ
แรก ๆ ที่มีการเรียกร้องในยุคนั้นคือ อำนาจหรือสิทธิในผลประโยชน์ของชนชั้นพวกตนที่จะไม่ตกเป็น
เบี้ยล่างของกษัตริย์แต่ฝ่ายเดียวอย่างที่เคยเป็นมา (หน้า 4-5) ขณะที่ในสังคมไทย ธเนศ ชี้ให้เห็นว่า
กรอบคิดเรื่องการเรียกร้องสิทธิของสังคมไทยเกิดขึ้นในโครงสร้างระบบศักดินาของไทยที่เคยถูก
ผูกขาดอยู่ที่ผู้เป็นใหญ่มาตั้งแต่อย่างน้อยในยุคอาณาจักรสุโขทัย โดยการเรียกร้องแรกๆ ไม่ได้เน้นที่
ความชอบธรรมของใคร หากแต่เป็นการเรียกร้องเพื่อความอยู่รอดในชีวิตประจำวันของบรรดา
ราษฎรที่ใช้แรงงานของตนในการปลูกข้าว (ธิดา สาระยา, 2544: 12-13)
คุณลักษณะสำคัญอันเป็นกรอบคิดและความหมายร่วมของคำว่า “สิทธิ” ในระบบศักดินาทั้ง
ของยุโรปและของไทยในอดีตนั้นคือ “สิทธิ” นั้นก่อตัวขึ้นจากฐานปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน
ระหว่างชนชั้นปกครองกับไพร่และทาส และยังส่งผลต่อความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม (ธีรยุทธ
บุญมี, 2529: 7) เพราะกรอบคิดดังกล่าวไปสนับสนุนให้ระบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างนาย
กับไพร่ทาส (Akin Rabibhadana, 1975: 109 อ้างถึงใน ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, 2544: 8) ดังกล่าว
ไปก่อนหน้านี้ว่า ราษฎรที่ปลูกข้าวมักเป็นกลุ่มไพร่ทาสที่มีจุดมุ่งหมายเพียงเอาตัวรอดขั้นพื้นฐาน
หมายถึง การรอดพ้นหรือช่วยเหลือให้หลีกเลี่ยง หรือ ประทังตัวได้จากหายนภัย ทัศนวิสัยของ
ราษฎรจึงมีผลต่อแนวคิดการยอมรับให้มีการเอารัดเอาเปรียบและความอยุติธรรมจากการใช้อำนาจ
ในการเก็บภาษีและเกณฑ์แรงงาน (ธีรยุทธ บุญมี, 2529: 7) ก่อให้เกิดระบบอุปถัมภ์และการพึ่งพา
อาศียกันระหว่างนายกับไพร่ทาสและนำไปสู่การสร้างพันธะผูกพันและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายขึ้นมา โดย
ในส่วนของมูลนายนั้นมีความชอบธรรมในการมีอำนาจเหนือผู้น้อย ทำให้กลายเป็นบทบาทของผู้ให้
การคุ้มครองช่วยเหลือไปในที่สุด (Akin Rabibhadana, 1975: 109)
ร่องรอยการปรากฏของคำว่า “สิทธิมนุษยชน” เริ่มเห็นอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นแต่ก็ยัง
จำกัดอยู่ในงานถกเถียงเชิงวิชาการมากกว่าที่จะเป็นภาษาในการสื่อสารสนทนากันของประชาชน
ทั่วไปโดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 2530 – 2540 ก่อนที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540
การไม่มี “ภาษา” “คำเรียก” และ “กรอบคิด” ที่ชัดเจนเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” ส่งผลต่อ
กำเนิดขององค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอย่างมีนัยยะสำคัญ สะท้อนจากการถกเถียงอย่างปราศจาก
ความตระหนักรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความหมายและความสำคัญของ “สิทธิมนุษยชน” ในช่วงที่
-43-