Page 173 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 173

156


                              1) สถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ นในปัจจุบัน สองลุ่มน้้าประสบปัญหาด้านทรัพยากรน้้า

                       ใกล้เคียงกันคือ ในฤดูฝนที่น้้าหลากน้้าจะไหลแรงส่งผลให้ตลิ่งพังทลาย ล้าน้้าตื้นเขินจากการทับถม

                       ของตะกอนน้้าพัดพา รวมถึงเกิดน้้าท่วมขังในบางพื้นที่ ขณะที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้้าเพื่อการ
                       เกษตรกรรมในฤดูแล้ง โดยเฉพาะในเขตลุ่มน้้าชีที่ปัจจุบันเกษตรกรมีแนวโน้มปลูกไม้ผลทางเศรษฐกิจ

                       เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นในอนาคตจึงมีความจ้าเป็นที่ต้องการใช้น้้าเพิ่มซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงน้้า

                       เพื่อการเกษตรในอนาคต
                              2) ข้อเสนอหรือข้อเรียกร้องเชิงนโยบายต่อภาครัฐ ผู้อยู่อาศัยในเขตพื้นที่สองลุ่มน้้าแสดง

                       ความต้องการต่อการจัดสรรทรัพยากรน้้าด้วยการเพิ่มการกักเก็บน้้าและชะลอการไหลของน้้าในช่วงฤดูฝน

                       ด้วยการสร้างฝายชะลอน้้าซึ่งอาจมีส่วนช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากน้้าได้เพิ่มขึ้น รวมถึงลดการ
                       พังทลายของตลิ่ง และการสร้างแหล่งกักเก็บน้้าเพื่อน้าน้้าที่มีมากในฤดูฝนส้ารองใช้ในช่วงที่ขาดแคลนน้้า

                       และอาจมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของสภาวะน้้าท่วมขังเนื่องจากมีพื้นที่รองรับน้้าเพิ่มสูงขึ้น
                              3) ข้อเสนอแนะและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐ

                       เอกชน ประชาสังคม และนักวิชาการ ได้แสดงทัศนะจากประสบการณ์หรือความรู้ในสายงานที่เกี่ยวข้อง

                       ต่อการจัดสรรทรัพยากรน้้าตามแนวทางสันติวิธี โดยสรุปได้ดังนี้ (1) การบริหารจัดการน้้าแบบองค์รวม
                       ประกอบด้วยทรัพยากรน้้า ป่าไม้ และดิน รวมถึงระบบนิเวศ โดยให้คนในชุมชนใกล้เคียงซึ่งเป็นผู้มีส่วน

                       ได้ส่วนเสียโดยตรงจากทรัพยากรเหล่านั้นมีส่วนร่วมในการด้าเนินการ (2) น้าความเชื่อและประเพณี

                       ท้องถิ่นร่วมกับความรู้สมัยใหม่ในการบริหารจัดการน้้า โดยนอกจากจะช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรน้้าแล้ว
                       ยังช่วยอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่นให้คงอยู่ ประเพณี เช่น การเลี้ยงผีฝาย ผีขุนน้้า และการฟังธรรมขอฝน

                       ขณะที่ความรู้สมัยใหม่ที่น้ามาใช้อาจเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การปลูกป่า ฯลฯ หรือ

                       รวมถึงความรู้ในภาคเกษตรกรรมที่ใกล้ชิดกับการใช้ทรัพยากรน้้า เช่น การเพาะปลูกที่เป็นมิตรต่อ
                       สิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร หรือเลือกปลูกพืชที่ใช้น้้าน้อย เป็นต้น (3) ความขัดแย้ง

                       จากการใช้น้้าอาจเกิดขึ้นในมิติที่หลายความสัมพันธ์ เช่น ชาวบ้านกับชาวบ้าน ชุมชนกับชุมชน

                       หรือชุมชนกับรัฐ แนวทางการแก้ไขปัญหาควรให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายพึงพอใจกับผลที่เกิดขึ้น ซึ่งจาก
                       หลายกรณีศึกษาที่ผ่านมาพบว่าการใช้แนวทางสันติวิธีสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ เช่น เจรจา

                       ไกลเกลี่ยผ่านคนกลางซึ่งในระดับชุมชนผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดคือก้านันและผู้ใหญ่บ้าน (4) คุณภาพน้้า

                       อาจเปลี่ยนแปลงทั้งมีสาเหตุจากธรรมชาติหรือการกระท้าของมนุษย์และส่งผลในวงกว้างต่อพื้นที่จังหวัด
                       อื่น ๆ ดังนั้น การใช้แนวทางบริหารจัดการทรัพยากรน้้าอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างอ่างกักเก็บน้้าอาจมี

                       ส่วนช่วยลดผลกระทบได้ และเพื่อลดปัญหาด้านคุณภาพทรัพยากรน้้า การสร้างความตระหนักรู้ถึง

                       ความส้าคัญของทรัพยากรน้้า การปฏิบัติทางกฎหมายของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้้าย่อมช่วย
                       รักษาคุณภาพน้้าได้เช่นกัน เช่น การบ้าบัดน้้าเสียจากโรงงานก่อนปล่อยสู่แหล่งน้้าธรรมชาติ รวมถึงไม่
   168   169   170   171   172   173   174   175   176   177   178