Page 175 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 175

158


                       สูงสุด ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ได้ก้าหนดให้ชุมชนมีสิทธิในการอนุรักษ์ จัดการและใช้ประโยชน์ รวมถึงการ

                       เข้าชื่อกันเพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานรัฐเพื่อให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน ซึ่งกฎหมายย่อยดังเช่น

                       พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542 จะเป็นช่องทางหรือเครื่องมือ
                       ให้กับชุมชนในการร่วมจัดการทรัพยากรน้้าในพื้นที่ของตน ชุมชนจึงควรแสวงหาช่องทางทางกฎหมาย

                       เพื่อสร้างโอกาสในการใช้สิทธิที่จะมีส่วนร่วมในการจัดสรรทรัพยากรน้้า ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือ

                       ที่ด้าเนินการได้อย่างสันติ ประกอบกับกฎหมายสากลที่ประเทศไทยมีพันธะสัญญาที่ส้าคัญคือเป้าหมาย
                       การพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals - SDGs) และการ

                       รับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ส่งผลให้

                       ประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562 - 2565) ซึ่งให้ความส้าคัญ
                       ต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่ส่วนหนึ่งได้ก้าหนดให้พัฒนาระบบการจัดการน้้าให้เพียงพอและ

                       ยั่งยืนโดยมุ่งส่งเสริมการสร้างจิตส้านึกและความเข้มแข็งของชุมชนและปัจเจกบุคคลในการจัดการ
                       แหล่งน้้าและบ้าบัดน้้าเสีย ดังกล่าวจึงแสดงให้เห็นว่าชุมชนเป็นผู้มีสิทธิในการจัดการทรัพยากรน้้า

                       รวมถึงการจัดการทรัพยากรน้้าในเขตพื้นที่ต้นน้้าที่มีความส้าคัญต่อทรัพยากรน้้าดังกล่าวข้างต้น

                              นอกจากนี้ จากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและเขตพื้นที่ป่าต้นน้้าที่ลดลง เป็นเหตุ
                       ให้ทรัพยากรน้้าได้รับผลกระทบทั้งปัญหาน้้าไหลบ่าหรือน้้าท่วมและปัญหาขาดแคลนน้้า ซึ่งบริบทของ

                       ความขัดแย้งด้านทรัพยากรน้้าอาจจะเกิดจากปัจจัยได้อีกหลายสาเหตุ ดังจะเห็นได้ว่าการแก้ไขปัญหา

                       ด้านการจัดการทรัพยากรน้้าในประเทศไทยมีข้อห่วงกังวลหลักคือ ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลง
                       สภาพอากาศ ประเด็นการบริหารจัดการน้้าขาดความเป็นเอกภาพ ประเด็นปัญหาเรื่องของสิทธิในน้้า

                       และประเด็นการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้้า ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถสร้างผลกระทบ

                       ต่อสังคมในวงกว้าง และปัจจุบันการบริหารจัดการทรัพยากรน้้าขาดการเชื่อมโยงในระดับภาพใหญ่
                       เพราะแต่ละหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้้า ท้างานตามขอบเขตของพื้นที่ที่

                       ดูแลรับผิดชอบเป็นหลัก ซึ่งการบูรณการกันระดับภูมิภาคและระดับลุ่มน้้าที่เป็นการท้างานอย่าง

                       จริงจังและมีเอกภาพยังปรากฏให้เห็นอยู่น้อย
                              จากสภาพปัญหาการบริหารจัดการน้้าดังกล่าวนั้น อาจน้าไปสู่ความขัดแย้งได้ทั้งในระดับ

                       ชุมชนเอง หรือชุมชนกับหน่วยงานอื่น หรือชุมชนกับรัฐ ดังนั้น แนวทางในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหา

                       ความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นเหล่านั้น จึงควรเป็นแนวทางที่ให้ความเป็นธรรมและเป็นที่
                       ยอมรับทั้งสองฝ่าย (คู่พิพาท) โดยแนวทางดังกล่าวเป็นที่รับรู้ว่าคือ “สันติวิธี” ที่มีรูปแบบการจัดการ

                       ความขัดแย้งที่หลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามบริบทของพื้นที่ ปัจจัยแวดล้อม เงื่อนไข ฯลฯ

                       และด้าเนินการด้วยหลักการส้าคัญ คือ เน้นการแก้ไขที่ปัญหา สานความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน และ
                       ตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (บุษบง ชัยเจริญวัฒนะ และเหมือนขวัญ เรณุมาศ, 2560)
   170   171   172   173   174   175   176   177   178   179   180