Page 61 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 61
52
ความเสมอภาคทางกฎหมายที่ห้ามมิให้มีการปฏิบัติที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลที่มีสถานะเดียวกันโดยไม่มีเหตุ
อันควร เมื่อสํานักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีลักษณะพิเศษเฉพาะในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐตาม
กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ มิใช่รัฐวิสาหกิจ และมิได้เป็นหน่วยงานเอกชน อันจะต้องอยู่ภายใต้บังคับกฎหมาย
ที่เกี่ยวกับแรงงานแล้ว การปฏิบัติต่อกิจการของสํานักงานฯ ในลักษณะที่แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
เกี่ยวกับแรงงาน จึงเป็นการสมเหตุสมผล เหมาะกับสถานะของผู้ปฏิบัติงานในสํานักงานฯ จึงไม่เป็นการเลือก
ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 30 วรรคสาม บัญญัติไว้....”
คําวินิจฉัยเหล่านี้ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญด้วยข้อโต้แย้งที่ว่ากฎหมายเหล่านั้นขัดหรือแย้ง
กับรัฐธรรมนูญมาตรา 30 หรือไม่ ซึ่งศาลวินิจฉัยไปในแนวทางเดียวกับคําวินิจฉัยที่ 5/2542 ว่าบทบัญญัติของ
กฎหมายเหล่านั้นไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 ศาลได้ให้คําอธิบายว่าแม้รัฐธรรมนูญจะได้ให้ความ
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอย่างเท่าเทียมกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรอง
แล้วจะมีการจํากัดหรือเลือกปฏิบัติไม่ได้ เพราะมาตรา 29 และมาตรา 30 ได้บัญญัติว่าการจํากัดสิทธิเสรีภาพ
กระทําได้ แต่การจํากัดสิทธิเสรีภาพต้องเป็นไปตามเงื่อนไขในมาตรา 29 คือต้องเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ให้อํานาจในการออกกฎหมายจํากัดสิทธิและเสรีภาพ โดยกฎหมายจะต้องออกเท่าที่จําเป็น และไม่กระทบ
กระเทือนสาระสําคัญแห่งสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ และต้องมีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไปไม่ได้มุ่งหมาย
บังคับใช้แก่กรณีหนึ่งกรณีใดหรือเฉพาะบุคคล ส่วนมาตรา 30 บุคคลย่อมมีความเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย
และได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมาย ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน หากบุคคลมีความแตกต่างกันด้วยถิ่น
กําเนิด เชื้อชาติ สภาพทางกาย สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม อาจปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านี้
แตกต่างกันได้ แต่จะเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมไม่ได้ (คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 40/2545) ดังนั้น
เพราะข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน จึงสามารถบังคับใช้กฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันได้ ไม่เป็นการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด
ต่อมาเป็นคดีที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งสภาพร่างกาย คดีนี้อยู่ใน
ความสนใจของนักกฎหมายอย่างมาก เนื่องจากนายศิริมิตร บุญมูล ประกอบอาชีพทนายความ ได้สมัครสอบ
เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการในตําแหน่งผู้ช่วยอัยการ แต่ถูกตัดสิทธิในการสอบ ด้วยเหตุผลที่ว่า มีสภาพร่างกาย
ไม่เหมาะสม นายศิริมิตร บุญมูล เป็นโปลิโอ พิการเดินขากะเผลก กล้ามเนื้อแขนขาลีบจนถึงปลายมือและขา
ทั้งสองข้าง กระดูกสันหลังคด ได้รับการผ่าตัดดามเหล็กที่กระดูกสันหลังไว้เพื่อให้ไหล่สองข้างเท่ากัน นายศิริมิตร
บุญมูล เห็นว่าการตัดสิทธิผู้สมัครเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องสภาพ
ร่างกาย ปรากฏตามคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 44/2545 ที่มีประเด็นวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการอัยการ พ.ศ.2521 มาตรา 33(11) บัญญัติว่า “ผู้สมัครสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการ
และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง อัยการผู้ช่วย ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้…
(11) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถหรือจิตฟั่นเฟือน
ไม่สมประกอบหรือมีกายหรือจิตใจไม่เหมาะสมที่จะเป็นข้าราชการอัยการหรือเป็นโรคที่ระบุไว้ในกฎกระทรวงและ
(12) เป็นผู้ที่คณะกรรมการแพทย์มีจํานวนไม่น้อยกว่าสามคนซึ่ง ก.อ. จะได้กําหนด
ได้ตรวจ ร่างกายและจิตใจแล้ว และ ก.อ. ได้พิจารณารายงานของแพทย์ เห็นว่าสมควรรับสมัครได้…” ขัดหรือ
แย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 หรือไม่