Page 66 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 66

57



                                         (11)  ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ  หรือคนเสมือนไร้ความสามารถหรือจิตฟั่นเฟือน
                  ไม่สมประกอบหรือมีกายหรือจิตใจไม่เหมาะสมที่จะเป็นข้าราชการอัยการหรือเป็นโรคที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง
                  และ

                                         (12) เป็นผู้ที่คณะกรรมการแพทย์มีจํานวนไม่น้อยกว่าสามคน ซึ่ง ก.อ.จะได้กําหนด
                  ได้ตรวจร่างกายและจิตใจแล้ว และ ก.อ. ได้พิจารณารายงานของแพทย์ เห็นว่าสมควรรับสมัครได้…”
                                         คณะกรรมการอัยการอาศัยอํานาจตามมาตรา  33(11)  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
                  ข้าราชการฝุายอัยการ พ.ศ.2521 จึงมีคําสั่งตัดสิทธิสอบนายศิริมิตร บุญมูล และนายศิริมิตร ได้โต้แย้งว่าคําสั่ง
                  ตัดสิทธิสอบคัดเลือกเพื่อเป็นข้าราชการอัยการในตําแหน่งอัยการผู้ช่วย ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

                  มาตรา 30
                                         คดีนี้มีข้อโต้แย้งเนื่องมาจากประกาศรับสมัครสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการ
                  ในตําแหน่งอัยการผู้ช่วย ใน พ.ศ.2544 ที่มีขั้นตอนการรับสมัคร ดังนี้ 1.ให้ผู้สมัครขอรับใบสมัครและยื่นใบสมัคร

                  สอบคัดเลือก  2.เมื่อเจ้าหน้าที่รับใบสมัครสอบคัดเลือกไว้แล้วจะจัดให้คณะกรรมการแพทย์ซึ่งคณะกรรมการ
                  อัยการ (ก.อ.) กําหนดตรวจสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้สมัคร และ 3.คณะกรรมการอัยการจะทําการตรวจ
                  คุณสมบัติของผู้สมัคร แล้วจึงประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าสอบคัดเลือก  ในการสมัครสอบคราวนี้ นายศิริมิตร
                  บุญมูล  ได้ยื่นใบสมัครพร้อมทั้งเข้ารับการตรวจสุขภาพกายและสุขภาพจิต  จากรายงานผลการตรวจสุขภาพ

                  คณะกรรมการแพทย์ได้รายงานว่า นายศิริมิตรมีรูปกายพิการ  กล้ามเนื้อแขนลีบจนถึงปลายมือทั้งสองข้าง
                  กล้ามเนื้อขาลีบจนถึงปลายขาทั้งสองข้าง  เดินขากะเผลก  กระดูกสันหลังคด  เมื่อคณะกรรมการอัยการพิจารณา
                  คุณสมบัติ จึงมีความเห็นว่าผู้สมัครขาดคุณสมบัติเนื่องจากมีกายพิการจึงมีมติไม่ควรรับสมัคร นายศิริมิตรจึงยื่น
                  ฟูองคดีต่อศาลปกครองโดยเห็นว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม  ตามมาตรา  30  แห่งรัฐธรรมนูญแห่ง

                  ราชอาณาจักรไทย
                                         ศาลปกครองได้พิจารณาโดยให้คําอธิบายว่า หลักความเสมอภาคได้วางไว้ให้องค์กร
                  ต่างๆ  ของรัฐรวมถึงฝุายปกครองต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่เหมือนกันในสาระสําคัญอย่างเดียวกัน  และปฏิบัติต่อ
                  บุคคลที่แตกต่างกันในสาระสําคัญต่างกันออกไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละคน  การที่บุคคลใดมีความ

                  แตกต่างกัน แต่ได้รับการปฏิบัติที่เหมือนกัน หรือบุคคลที่เหมือนกันได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างไป ย่อมเป็นการ
                  ขัดต่อหลักความเสมอภาค  แสดงให้เห็นว่า  หลักความเสมอภาคไม่ได้บังคับให้ต้องปฏิบัติต่อแต่ละบุคคล
                  เหมือนกัน แต่หลักแห่งความเสมอภาคเห็นควรที่จะปฏิบัติต่อแต่ละบุคคลให้แตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะ

                  ของแต่ละบุคคล หากบุคคลเหล่านั้นมีลักษณะเฉพาะที่เป็นสาระสําคัญเหมือนกัน ต้องปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเป็น
                  อย่างเดียวกัน ซึ่งตามวรรคสาม ของมาตรา 30 ได้กําหนดเหตุแห่งความแตกต่างไว้ ในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ
                  ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทาง
                  ศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมือง อันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หากนําเหตุ
                  ต่างๆ เหล่านี้มาอ้างเพื่อปฏิบัติให้แตกต่างกัน ถ้าเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ย่อมเป็นการเลือกปฏิบัติ หากมี

                  การเลือกปฏิบัติต่อบุคคลเพราะความแตกต่าง หากไม่มีเหตุผลควรค่าแก่การรับฟังย่อมถือเป็นการเลือกปฏิบัติ
                  โดยไม่เป็นธรรมอันขัดต่อมาตรา 30 วรรคสามของรัฐธรรมนูญ
   61   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71