Page 64 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 64
55
มาตรการที่รัฐกําหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและ
เสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่นย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม”
ศาลรัฐธรรมนูญยกเหตุผลประกอบว่า มาตรา 29 วรรคหนึ่งเป็นบทบัญญัติที่เป็น
ข้อยกเว้นว่า การจํากัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทํามิได้ เว้นแต่มีบทบัญญัติแห่ง
กฎหมายเฉพาะตามที่รัฐธรรมนูญนี้กําหนดไว้และกระทําได้เท่าที่จําเป็นเท่านั้น อีกทั้งจะกระทบกระเทือน
สาระสําคัญแห่งสิทธิเสรีภาพมิได้ และวรรคสองได้รับรองว่า กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีผลใช้บังคับเป็นการ
ทั่วไปและไม่เป็นการมุ่งหมายบังคับใช้แก่กรณีใดกรณีหนึ่งเป็นการเจาะจง และจะต้องระบุบทบัญญัติแห่ง
รัฐธรรมนูญที่ให้อํานาจในการตรากฎหมายด้วย ซึ่งเห็นว่าบทบัญญัติของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
ฝุายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 มาตรา 26(10) ดังกล่าว เป็นลักษณะตามข้อยกเว้นของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย มาตรา 29 ซึ่งไม่กระทบกระเทือนถึงสาระสําคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพ มีผลใช้บังคับเป็น
การทั่วไปและไม่มุ่งหมายบังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง และไม่เป็นการ
เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามมาตรา 30 แต่อย่างใด
เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้เพิ่มข้อความในมาตรา
30 วรรคสาม โดยห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อความพิการ นายศิริมิตร บุญมูล นําข้อเท็จจริง
เดิมในคําวินิจฉัยที่ 16/2545 ที่ถูกตัดสิทธิสอบตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝุายตุลาการศาลยุติธรรม
พ.ศ.2543 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง กลับมายื่นคําร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยใน
คําวินิจฉัยที่ 15/2555 พิจารณาแล้วเห็นว่าภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคําวินิจฉัยที่ 16/2545 ประเทศ
ไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการของสหประชาชาติ ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 ซึ่งมีผลให้
ต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2551 เป็นต้นมา ประเทศไทยจึงต้องปฏิบัติให้เป็นไป
ตามพันธกรณีทั่วไปในอนุสัญญา ข้อ 4 ที่ต้องออกมาตรการทางกฎหมายและดําเนินการตามมาตรการที่เหมาะสม
เพื่อแก้ไข หรือยกเลิกกฎหมาย กฎระเบียบ จารีตประเพณี และทางปฏิบัติที่มีอยู่ซึ่งก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ
ต่อคนพิการ ข้อ 27 (a) ที่กําหนดให้หน่วยงานของรัฐห้ามเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความพิการในทุกด้านที่
เกี่ยวกับการจ้างงาน รวมถึง เงื่อนไขในการคัดเลือกบุคคล การว่าจ้างและการจ้างงาน และ (g) ที่กําหนดให้
ว่าจ้างคนพิการเข้าทํางานในหน่วยงานภาครัฐ ดังนั้น การที่หน่วยงานของรัฐจะกําหนดหลักเกณฑ์ในการรับ
บุคคลเข้าทําหน้าที่ในตําแหน่งใด ย่อมต้องคํานึงถึงพันธกรณีตามอนุสัญญาดังกล่าวด้วย อนุสัญญาดังกล่าวได้
กําหนดความหมายของคนพิการ ไว้ในข้อ 1 ว่าหมายความรวมถึง บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ
สติปัญญา หรือทางประสาทสัมผัสในระยะยาว เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับอุปสรรคนานัปการจะกีดขวางการมีส่วนร่วม
ในสังคมอย่างเต็มที่และมีประสิทธิผลบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกับบุคคลอื่น เมื่อพิจารณาประกอบกับพระราช
บัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ที่มีเจตนารมณ์ในการคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มี
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพ โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้
ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้กําหนดความหมายของ “คนพิการ”
หมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อจํากัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจําวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจาก
มีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา