Page 46 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 46

37




                  ไม่เป็นสาระสําคัญและอยู่ในสถานะที่เหมือนกันแล้วกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับนั้นต้องเป็นกฎเกณฑ์เดียวกัน เช่น
                  กฎหมายบําเหน็จบํานาญกําหนดให้ข้าราชการรับราชการ 10 ปีขึ้นไปมีสิทธิรับบําเหน็จบํานาญ ฝุายนิติบัญญัติ

                  จะออกกฎหมายบัญญัติให้ข้าราชการซึ่งรับราชการเพียง 2 ปีที่ผู้บังคับบัญชาเห็นควรยกย่องให้ได้รับบําเหน็จ
                  บํานาญเท่ากับข้าราชการซึ่งได้บํานาญ 10 ปี เช่นนี้หาได้ไม่ เพราะเมื่อเหตุไม่เหมือนกัน คือ เวลาราชการไม่เท่ากัน
                  ก็ควรได้รับผลปฏิบัติแตกต่างกัน ไม่ควรให้ได้รับผลปฏิบัติเสมอกัน แม้ว่าจะอยู่ในสถานะที่เป็นข้าราชการ
                  เหมือนกันก็ตาม (สมยศ เชื้อไทย, 2535: 139)
                                         3) การปฏิบัติให้แตกต่างกันอันเนื่องมาจากผลประโยชน์มหาชน

                                           การปฏิบัติต่อบุคคลตามหลักความเสมอภาคนั้นย่อมต้องคํานึงถึงเรื่องประโยชน์
                  สาธารณะเหนือประโยชน์ส่วนบุคคล จะอ้างหลักความเสมอภาคในการใช้กฎเกณฑ์เพื่อมาคุ้มครองปัจเจกชน
                  ไม่ได้ เช่น ในกรณีที่มีความไม่สงบเกิดขึ้นในบ้านเมือง ทางการจําเป็นต้องใช้มาตรการเพื่อก่อให้เกิดความสงบสุข

                  กลับมาสู่บ้านเมืองอย่างเร็วที่สุด การใช้มาตรการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติและการเคารพต่อ
                  หลักแห่งความเสมอภาค ผู้ที่เดือดร้อนจากการกระดังกล่าวจะอ้างหลักแห่งความเสมอภาคต่อรัฐหาได้ไม่
                                         4) การอ้างประโยชน์สาธารณะเพื่อไม่ต้องเคารพต่อหลักแห่งความเสมอภาคนั้น
                  จะต้องไม่เป็นการก่อให้เกิดการแบ่งแยกอย่างที่ไม่สามารถยอมรับได้

                                           การอ้างประโยชน์สาธารณะในการปฏิบัติให้แตกต่างกันนั้น แม้จะถือว่าเป็นการ
                  กระทบต่อหลักแห่งความเสมอภาคและก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติก็ตามที แต่อย่างไรก็ดีการกระทําดังกล่าวนั้น
                  จะต้องไม่ก่อให้เกิดการแบ่งแยกอย่างที่ไม่สามารถยอมรับได้ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์ดังกล่าวได้
                  การแบ่งแยกอย่างที่ไม่สามารถยอมรับได้นั้น ที่เห็นได้ชัดคือการแบ่งแยกที่เป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

                  เช่น การแบ่งแยกในเรื่องแหล่งกําเนิด เชื้อชาติ ศาสนา เพศ เป็นต้น
                                         5) การเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรมมุ่งลดความเหลื่อมล้ําที่ดํารงอยู่
                                           การเลือกปฏิบัติที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ําที่ดํารงอยู่หรือการปฏิบัติในทางบวกคือ
                  การดําเนินการตามกฎหมายที่แตกต่างกันในลักษณะชั่วคราวที่ผู้มีอํานาจกําหนดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

                  ส่งเสริมและยกระดับบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มีสถานะด้อยกว่าบุคคลอื่นเพื่อทดแทนความไม่เท่าเทียมกัน
                  ที่ดํารงอยู่ (F.MELIN-SOUCRAMENINE, “Les adaptions du principe d’egalite a la diversite des
                  territoires,” RFDA., 1977’p.911. อ้างถึงในสมคิด เลิศไพฑูรย์, 2543:170)

                                         หลักการนี้เกิดจากแนวคิดของประธานาธิบดีเคนเนดี้และประธานาธิบดีจอห์นสันที่
                  ต้องการสร้างความเป็นธรรมขึ้นในสังคมอเมริกา หลักการดังกล่าวได้รับการยอมรับด้วยการตรากฎหมายสิทธิ
                  พลเมือง (Civil Rights Act) ขึ้นเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1964 (Patrick WACHSMANN, Libertes Publiques,
                  (Paris:Dalloz,1996,p.224.อ้างถึงในสมคิด เลิศไพฑูรย์, 2543 : 170) และศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกาดําเนิน
                  การตามหลักดังกล่าวโดยการตัดสินในคดี Regents  of  University  of  California  V.Bakke  438  US265

                  (1978) ว่าการที่มหาวิทยาลัยสํารองที่นั่ง 16% ของคณะแพทยศาสตร์ให้แก่นักศึกษาชนกลุ่มน้อยต่างๆ นั้น
                  ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ําที่ดํารงอยู่ เป็นต้น นอกจากนี้ หลักการเลือกปฏิบัติที่มุ่งลด
                  ความเหลื่อมล้ําที่ดํารงอยู่นี้ยังได้รับจากรับรองจากศาลประชาคมยุโรปโดยมีการนําหลักเกณฑ์นี้มาตัดสินในคดี
   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51