Page 521 - รายงานผลการศึกษาวิจัย ฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 521

ปฏิรูปที่ดินจึงต้องได้รับความยินยอมจากกระทรวงการคลังตามมาตรา 26 (2) แห่งพระราชบัญญัติการ

                     ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 เสียก่อน
                            ประเด็นที่สอง การหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้ตามพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตหวงห้าม
                                                                                       ่
                     ที่ดินฯ แม้ว่าต่อมาจะมีการออกกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติปาสงวนแห่งชาติ พ.ศ.
                     2507 ทับซ้อนที่ดินที่ได้หวงห้ามไว้ก็มิได้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการหวงห้าม ดังนั้นการที่พระ
                                                                                        ่
                     ราชกฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะมีผลเป็นการเพิกถอนเขตปาสงวนแห่งชาติที่ได้
                     กําหนดไว้ก็มิได้มีผลเป็นการเพิกถอนสภาพการหวงห้ามที่ดินแต่อย่างใด เมื่อที่ดินยังมีสภาพเป็นที่ดิน

                     รกร้างว่างเปล่าที่มีการหวงห้ามอยู่ การจะนํามาปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจึงต้องได้รับความยินยอม
                     จากกระทรวงการคลัง ตามเหตุผลที่ได้กล่าวไว้แล้วในประเด็นที่หนึ่ง
                                                                                               ่
                                                                                      ่
                            ประเด็นที่สาม ที่ดินที่ได้หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์แห่งราชการกรมปาไม้ กรมปาไม้เป็นผู้มี
                     หน้าที่ดูแลรับผิดชอบ แต่การนําที่ดินดังกล่าวมาปฏิรูปที่ดินก็ต้องดําเนินการตามมาตรา 26 (2) แห่ง
                     พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ด้วย

                            6.12 เรื่องเสร็จที่ 343/2545 บันทึก เรื่อง หารือเกี่ยวกับการนําที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินไป
                     ดําเนินการตามกฎหมายอื่น

                            คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 7) ได้พิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับที่ดินที่อยู่ในเขตพระราช
                     กฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่รกร้าง
                     ว่างเปล่าตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 26 (3) แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.

                     2518 หาก ส.ป.ก. ไม่มีแผนงานและไม่ประสงค์จะนําที่ดินดังกล่าวมาดําเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อ
                     เกษตรกรรม และกรมที่ดินได้รับคํายืนยันจาก ส.ป.ก. เช่นนั้นแล้ว ส.ป.ก.) จะต้องดําเนินการตราพระ
                     ราชกฤษฎีกาเพื่อกันเขตที่ดินออกจากเขตปฏิรูปใหม่หรือไม่ เพียงใด โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา

                     (คณะที่ 7) เห็นว่าในกรณีที่ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่มีพระราชกฤษฎีกากําหนดเขต
                     ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมครอบคลุมทั้งเขตอําเภอ และเป็นพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดินฯ
                     ที่ตราขึ้นก่อนพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2532 ใช้บังคับ นั้น เขต

                     ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ย่อมมีความหมายครอบคลุมถึงที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินตามพระราช
                     กฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งอาจเป็นเขตที่ ส.ป.ก. เข้าไปดําเนินการ และเขตที่
                     ส.ป.ก. ยังไม่ได้เข้าไปดําเนินการด้วย สําหรับกรณีการตราพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดินใน

                     ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่รกร้างว่างเปล่าตามมาตรา 26 (3) แห่ง
                     พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 นั้น ส่วนของพื้นที่ที่ ส.ป.ก. มิได้มีแผนและ
                     ไม่ประสงค์เข้าดําเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ก็ยังคงสถานะเป็นที่รกร้างว่างเปล่าดังเดิม

                     หน่วยราชการซึ่งเคยเป็นผู้ดูแลรักษาที่ดินตามที่กฎหมายได้บัญญัติให้เป็นอํานาจหน้าที่ของหน่วย
                     ราชการใดก็คงมีอํานาจหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่าง

                     กฎหมาย คณะที่ 7 และกรรมการร่างกฎหมายคณะที่ 2 ) ได้เคยให้ความเห็นไว้ในการตอบข้อหารือ








                                                                                                     8‐86
   516   517   518   519   520   521   522   523   524   525   526