Page 510 - รายงานผลการศึกษาวิจัย ฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยเพื่อการปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 510
ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามประมวลที่ดิน มาตรา 4 และต้องถือว่า
ที่ดินเป็นของรัฐตาม ประมวลกฎมายที่ดิน มาตรา 2 ที่บัญญัติว่าที่ดินซึ่งไม่ได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ
บุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ถือว่าเป็นของรัฐ เมื่อทางราชการออกกฎกระทรวงกําหนดให้ที่ดินพิพาทเป็น
่
ปาสงวนแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ ส.ป.ก. นําไปปฏิรูปที่ดินได้ และต่อมาได้มีการออก
่
พระราชกฤษฎีกากําหนดให้ที่ดินพิพาทเป็นเขตปฏิรูปที่ดินมีผลเป็นการเพิกถอนปาสงวนแห่งชาติใน
ที่ดินแปลงนั้น และสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีอํานาจนําที่ดินนั้น มาใช้ในการปฏิรูป
่
ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้โดยไม่ต้องดําเนินการเพิกถอนตามกฎหมายปาสงวนแห่งชาติตาม
พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 26 (4) สํานักงานการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) มีอํานาจนําที่ดินพิพาทมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินได้
เจ้าของที่ดินมีที่ดินเป็นของตนเองกว่า 100 ไร่ จึงมิใช่เกษตรกรตามความหมายแห่ง
พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 4 จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการ
เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ส.ป.ก. จึงมีสิทธิที่จะเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ใน
เขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01 ก.)
การที่จะต้องเวนคืนที่ดินเพื่อนํามาปฏิรูปที่ดินนั้น ที่ดินพิพาทต้องเป็นของประชาชนไม่ใช่
ั
ของรัฐ เมื่อฟงข้อเท็จจริงว่าที่ดินเป็นของรัฐแล้ว ส.ป.ก.ก็ไม่จําต้องเวนคืนที่ดิน
5.7 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 8371/2551 วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อ
เกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 36 ทวิ วรรคหนึ่ง ที่กําหนดให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
หรืออสังหาริมทรัพย์ใดๆ ที่ได้มาก็เพื่อนําไปใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มิได้มุ่งหมายให้
ส.ป.ก. มีกรรมสิทธิ์เช่นเดียวกับเจ้าของทรัพย์สินทั่วไปที่มีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
่
พาณิชย์ มาตรา 1336 เมื่อที่ดินพิพาทเดิมเป็นปาสงวนแห่งชาติเป็นที่ดินของรัฐ แม้ถูกเพิกถอน
่
สภาพจากการเป็นปาสงวนแห่งชาติ อันเนื่องจากการดําเนินการตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 26 (4) ก็ยังคงเป็นที่ดินของรัฐอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนประเภทของ
ที่ดิน วัตถุประสงค์และการใช้ประโยชน์ในที่ดินและเปลี่ยนหน่วยงานของรัฐผู้ดูแลและใช้ประโยชน์ใน
่
ที่ดินจากกรมปาไม้เป็น ส.ป.ก. โดยให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อ
เกษตรกรรมตามมาตรา 36 ทวิ ยังคงเป็นที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 ไม่อาจถือ
ได้ว่า ส.ป.ก. เป็นบุคคลผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามกฎหมายอื่นตามประมวลกฎมายที่ดิน
มาตรา 3 (2) ที่ดินพิพาทจึงไม่มีบุคคลได้มาตามกฏหมายที่ดิน การที่ ส.ป.ก. ออกหนังสืออนุญาตให้
เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ให้แก่เกษตรกรจึงเป็นเพียงหนังสืออนุญาตให้
เข้าทําประโยชน์ในที่ดินเท่านั้นไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสถานะทางกฎหมายของที่ดินนั้น
การที่ได้ที่ดินที่มีหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) มาไม่
อาจถือได้ว่าเป็นการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมายอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 3
่
่
(2) จึงยังมิได้มีบุคคลได้มาตามประมวลกฎหมายที่ดิน และยังคงเป็นปาตามพระราชบัญญัติปาไม้ พ.ศ.
8‐75