Page 63 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ปัญหาและมาตรการทางกฎหมายในการรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว
P. 63

๔๘


                                         (๒) การรบกวนแทรกแซงความสันโดษ หรือกิจกรรมส่วนตัว (Intrusion) ได้แก่

                   การล่วงเกินขอบเขตส่วนตัวของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือเข้าไปยุ่งในกิจกรรมส่วนตัวของเขาหรือ
                   เป็นการบุกรุกทางกายภาพซึ่งสภาวะความสันโดษของผู้อื่น เช่นการบุกรุกเข้าไปในบ้าน ที่พัก การเข้าค้น

                   ถุงสินค้าของผู้อื่นโดยมิชอบในห้างสรรพสินค้า โดยการกระท่าลักษณะดังกล่าวต้องเป็นการกระท่าที่มี

                   ลักษณะทางกายภาพ นอกจากนี้การบุกรุกยังขยายรวมถึงการดักฟังบทสนทนาส่วนตัวของผู้อื่นทั้งโดย
                   วิธีการลอบต่อสายโทรศัพท์เพื่อดักฟังการสนทนา การใช้ไมโครโฟนขยายเสียง และรวมถึงการลอบมอง

                   ผ่านเข้าไปในหน้าต่างบ้านของผู้อื่น การโทรศัพท์ก่อกวน โดยการกระท่าดังกล่าวข้างต้นต้องเป็นการ
                   กระท่าต่อทรัพย์ส่วนบุคคล ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิร้องเรียนเมื่อการให้ปากค่านั้นถูกบันทึก หรือเมื่อ

                   ต่ารวจปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการบันทึกภาพ พิมพ์ลายนิ้วมือ หรือกระท่าการอื่นใดโดยชอบด้วย
                   กฎหมายซึ่งก็รวมถึงการกระท่าการใดๆ ดังกล่าวข้างต้นในที่สาธารณะก็ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดในส่วน

                   ของการบุกรุกซึ่งสิทธิในความเป็นส่วนตัว แต่มีบางกรณีที่แม้โจทก์จะอยู่ในสถานที่สาธารณะแต่เมื่อมีการ

                   บุกรุกซึ่งสิทธิในความเป็นส่วนตัวของโจทก์ก็ถือเป็นความผิดฐานละเมิดได้ ตัวอย่างเช่น กรณีที่ผู้หญิงถูก
                   บันทึกภาพขณะที่กระโปรงของเธอถูกลมพัดเปิดขึ้นกรณีนี้โจทก์มีสิทธิร้องทุกข์ต่อศาลได้  (คดี  Daily

                   Times Democrat v. Grahan, 1964)

                                         (๓)  การเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว  (Public  Disclosure  of  Private  Facts)
                   เป็นการกระท่าผิดโดยการน่าข้อมูลส่วนบุคคลของโจทก์ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องจริง  และการเปิดเผยนั้น

                   ไม่ตกเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทน่าไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่น เช่น  คดีระหว่าง Brents v.Morgan ในปี

                   ค.ศ.  ๑๙๒๗  ข้อเท็จจริงคือจ่าเลยน่าหนังสือแจ้งเตือนการช่าระหนี้ไปติดที่หน้าต่างโรงรถของโจทก์
                   ประกาศให้บุคคลภายนอกได้ทราบว่าจ่าเลยให้โจทก์ยืมเงินและโจทก์ไม่ยอมคืนจ่าเลย  ดังนั้น

                   โดยองค์ประกอบของความผิดนั้นการเปิดเผยข้อเท็จจริงส่วนตัวของผู้อื่นจะถือเป็นการกระท่าละเมิด
                   ต่อเจ้าของเรื่องเมื่อการเปิดเผยข้อเท็จจริงส่วนบุคคลนั้นต้องเป็นการเปิดเผยไปสู่สาธารณะ ไม่ใช่เป็นการ

                   เล่าสู่กันฟังส่วนบุคคล  หรือเปิดเผยให้รู้กันเฉพาะกลุ่มเล็ก  ดังนั้น การลงหนังสือพิมพ์ว่าผู้ใดไม่ยอม

                   จ่ายหนี้หรือการปิดหนังสือเตือนไว้บนกระจกโรงรถฝั่งที่ติดถนนจึงเป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงส่วนตัวแล้ว
                                         (๔) การไขข่าวให้แพร่หลายในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง (False light in the

                   public eye) ได้แก่ การท่าให้โจทก์เสื่อมเสียในสายตาของประชาชน โดยการใช้ชื่อโจทก์ หรือภาพแสดง
                   ถึงโจทก์ในเรื่องที่โจทก์เองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เช่น การน่ารูปภาพของคนขับรถแท็กซี่ทั่วไปไปใช้ในการ

                   ประกอบเรื่องเกี่ยวกับคนขับรถแท็กซี่ที่ขี้โกงในเมือง หรือการรวมเอาชื่อของโจทก์รูปภาพและลายมือ

                   ของโจทก์เอาไว้ในห้องภาพคนร้ายในพิพิธภัณฑ์ที่ถูกตัดสินว่ากระท่าความผิดอาญา ทั้งที่ไม่มีข้อเท็จจริง
                   ว่าโจทก์เคยถูกตัดสินว่ากระท่าความผิดอาญา เป็นต้น ซึ่งการกระท่าละเมิดในฐานนี้ไม่จ่าเป็นต้องผิดใน

                   ฐานหมิ่นประมาทควบคู่เสมอไป

                                         หลักการทั้ง  ๔ ข้อนี้ ได้พัฒนาและบัญญัติเป็นกฎหมายลักษณะละเมิด
                   (Restatement (Second) of Tort) ในมาตรา 652A – 652D24 มีผลใช้บังคับในประเทศสหรัฐอเมริกา

                   จนถึงปัจจุบัน
   58   59   60   61   62   63   64   65   66   67   68