Page 61 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ปัญหาและมาตรการทางกฎหมายในการรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว
P. 61

๔๖


                   มาตรฐานค่าว่า “ไม่สมเหตุสมผล” (Unreasonable) อย่างเคร่งครัด ซึ่งสามารถสรุปหลักเกี่ยวกับการค้น
                                                        ๖๕
                   หรือการยึด (Search and seizure) ได้ ดังนี้
                                         การตีความค่าว่า “การค้นหรือการยึด” นั้น ศาลสูงสุดได้ตีความตาม

                   เจตนารมณ์โดยมุ่งเน้นถึงสิทธิและผลประโยชน์ที่รัฐธรรมนูญมาตรานี้ต้องการจะคุ้มครอง

                                         (๓) มาตรา ๑๔ (Fourteenth Amendment) (1868) “ข้อ ๑ บุคคลทุกคน
                   ที่เกิดหรือแปลงชาติในสหรัฐ และอยู่ในบังคับของกฎหมายสหรัฐของมลรัฐที่มีภูมิล่าเนาอยู่มลรัฐใดจะ

                   ออกกฎหมายหรือบังคับใช้กฎหมายที่เป็นการตัดทอนเอกสิทธิ หรือความคุ้มกันที่พลเมืองของสหรัฐจะพึง
                   ได้รับไม่ได้ หรือมลรัฐใดจะรอนสิทธิในชีวิต เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของบุคคล โดยไม่ชอบด้วยกระบวน

                   ความแห่งกฎหมาย  หรือจะปฏิเสธไม่ให้บุคคลใดอยู่ที่อยู่ในเขตอ่านาจให้ได้รับความคุ้มครองตาม
                   กฎหมายโดยเท่าเทียมกันนั้นกระท่ามิได้”

                                         ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๘๙๐ เมื่อเทคโนโลยีและสังคมเจริญขึ้น ก็ปรากฏว่ามีการ

                   ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลโดยสื่อมวลชน (หนังสือพิมพ์)
                   เช่น การน่าเรื่องชู้สาวมาลงตีพิมพ์เพื่อหวังเพิ่มยอดขายโดยไม่มีการค่านึงถึงจรรยาบรรณของ

                   นักหนังสือพิมพ์ จากสภาพปัญหาดังกล่าวท่าให้สองทนายความชาวสหรัฐอเมริกา คือ แซมมวล ดี วอแรน

                   (Samuel D. Warren) และหลุยส์ ดี แบรนไดส์ (Louis D. Brandies) ได้เขียนบทความเรื่อง “The
                                                                        ๖๖
                   Right to Privacy” ลงตีพิมพ์ในวารสาร Harvard Law Review  โดยบทความดังกล่าวมีสาระส่าคัญ
                   เป็นการกล่าวถึงหลักการที่บุคคลต้องได้รับการคุ้มครองโดยบริบูรณ์ในร่างกายและทรัพย์สิน ซึ่งแต่เดิม

                   กฎหมายคอมมอนลอว์บังคับให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะการละเมิดต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
                   เท่านั้น แต่เมื่อสังคมมีความเปลี่ยนแปลงไปท่าให้ต้องตีความลักษณะและขอบเขตแห่งการคุ้มครอง

                   ซึ่งสิทธินั้นๆ  กันใหม่ โดยจะต้องตีความขยายขอบเขตของสิทธิดังกล่าวให้มีความหมายถึงสิทธิที่จะมี
                   ความสุขในชีวิต  หรืออีกนัยหนึ่ง  คือ สิทธิที่จะอยู่ตามล่าพังอย่างสันโดษ  ปราศจากการเข้ารบกวน

                   โดยสื่อมวลชนนั่นเอง แต่ผู้เขียนทั้งสองยอมรับว่า “สิทธิส่วนบุคคล” มีข้อจ่ากัดบางประการกล่าวคือ

                                         ๑. ต้องไม่ขัดขวางต่อการเผยแพร่เรื่องราวอันเกี่ยวด้วยประโยชน์สาธารณะ
                                         ๒.  ไม่คุ้มครองไปถึงบุคคลซึ่งได้แสดงเจตนาสละสิทธิที่จะมีความเป็นอยู่

                   โดยรอดพ้นจากการรับรู้ของสาธารณะ
                                         ๓. ไม่ขัดขวางต่อการสื่อสารเรื่องราวใดๆ ซึ่งได้รับเอกสิทธิ์ภายใต้กฎหมาย

                   เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท แม้เรื่องราวนั้นจะเป็นเรื่องส่วนตัวก็ตาม








                            โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง สิทธิของผ้ต้องหา จ่าเลย และผู้ต้องโทษในคดีอาญา โดย รองศาสตราจารย์ณรงค์
                   ใจหาญ และคณะ,เสนอต่อ ส่านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา,พ.ศ. ๒๕๔๐
                          ๖๖ วิทยานิพนธ์เรื่อง มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมการเผยแพร่ข่าวผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับเพศ

                   นางสาวศศิภา เรืองฤทธิ์ชาญกุล, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,๒๕๕๓
   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66