Page 62 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ปัญหาและมาตรการทางกฎหมายในการรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว
P. 62
๔๗
๔. สิทธิในชีวิตส่วนตัวย่อมระงับไปเมื่อมีการเผยแพร่ข้อเท็จจริงโดยตัวผู้นั้นเอง
หรือโดยความยินยอมของผู้นั้น
อย่างไรก็ตาม การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลนั้นจะอ้าง
เหตุว่าข้อความที่เผยแพร่นั้นเป็นความจริงเพื่อไม่ต้องรับผิดนั้นมิได้ แม้ข้อความนั้นมิได้บิดเบือนต่อ
ความเป็นจริง แต่ก่อความเสียหายต่อความรู้สึกของเอกชนก็เป็นการละเมิดต่อสิทธินี้แล้ว
บทความดังกล่าวถือได้ว่าเป็นปัจจัยส่าคัญที่กระตุ้นให้มีการรับรองสิทธิส่วน
บุคคลและบทความนี้ได้รับการยกย่องจากนักนิติศาสตร์ว่าเป็นบทความที่มีอิทธิพลมากที่สุดเท่าที่เคย
เขียนกันมา
ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๐๓ มลรัฐนิวยอร์ค ได้ออกกฎหมายรับรองสิทธิส่วนบุคคล
(ปัจจุบันคือ New York Civil Rights Law 1921 มาตรา ๕๐-๕๑) ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่รับรอง
สิทธิส่วนบุคคลของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งบัญญัติว่า “การใช้ชื่อ รูปภาพ หรือภาพถ่ายของบุคคลอื่น
เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้าหรือการโฆษณาที่เขามิได้ให้ความยินยอมเป็นหนังสือเป็นความผิดทาง
อาญาและเป็นการละเมิด” ต่อมา มลรัฐต่างๆ เกือบทุกมลรัฐก็ได้ให้การรับรองสิทธิส่วนบุคคล โดยตรา
เป็นกฎหมายของมลรัฐ และให้ความคุ้มครอง “สิทธิส่วนบุคคล” ว่าหมายถึง สิทธิที่จะมิให้มีการน่า
บุคลิกภาพของบุคคลไปใช้แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ มิให้มีการโฆษณาเรื่องราวส่วนตัวอันสาธารณะ
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยชอบ หรือมิให้มีการก้าวล่วงโดยมิชอบต่อกิจกรรมส่วนตัวของบุคคลในลักษณะ
รุนแรง ก่อให้เกิดความตกใจ หรืออับอายใจ หรือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะอยู่ตามล่าพัง และด่าเนินชีวิต
อย่างสันโดษ
นอกจากนี้ยังมีบทความทางวิชาการที่ก่อให้เกิดอิทธิพลในการพัฒนาหลักใน
เรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างมาก ได้แก่ บทความของ William L. Prosser ในปี ๑๙๖๐ ได้สร้าง
หลักการในเรื่องการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวขึ้น โดยแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังนี้
(๑) การใช้ชื่อหรือภาพของบุคคลเพื่อผลประโยชน์โดยไม่ได้รับความยินยอม
(appropriation) ตัวอย่างคดีที่ส่าคัญได้แก่ คดีระหว่าง Rochester และ Roberson ศาลมลรัฐนิวยอร์ก
ได้ตัดสินให้จ่าเลยชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์ด้วยเหตุที่โจทก์นั้นถูกละเมิดด้วยการถูกน่าภาพไปใช้เพื่อ
ประโยชน์ในการโฆษณาสินค้าของจ่าเลย หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดในทางที่เป็นการส่งเสริมการขาย
ของจ่าเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของภาพดังกล่าว ข้อส่าคัญองค์ประกอบในการกระท่า
ผิดคือ การที่จ่าเลยได้ใช้ชื่อซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของผู้อื่นนั้นเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์ เช่น การ
ปลอมตัวเป็นผู้อื่นเพื่อให้ได้รับมาซึ่งข้อมูลความลับของผู้นั้น (คดี Goodyear Tired Rubber Co. v.
Vandergriff, 1936) หรือ โดยแสดงตัวเป็นภรรยาของโจทก์เพื่อให้ได้ประโยชน์ทางการค้าแก่ตน (คดี
Burns v. Stevens, 1926) เหล่านี้ล้วนเป็นการกระท่าผิดละเมิดในฐานนี้ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงการใช้ชื่อ
ของโจทก์ในนวนิยาย หรือชื่อของบริษัท หรือการน่าภาพอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง การน่าเอาภาพบ้าน
รถยนต์ หรือสัตว์เลี้ยงของผู้อื่นมาใช้เพื่อประโยชน์ของตน เนื่องจากไม่ถือว่ามีความชัดเจนเพียงพอในการ
จะท่าให้ผู้อื่นเข้าใจได้ว่าเป็นผู้ใด