Page 183 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 183
182 แดศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน
ศีลธรรมส่ําทรามด้วยความชั่ว เห็นแก่ตัวทุจริตผิดวิสัย
เกิดโรคร้ายให้อนาถทุกชาติไป เป็นสมัยกลียุคเข้ารุกราน
(โฆษณา อ้างถึงใน อวยพร มิลินทางกูร, 2519: 119)
ภาพความลําบากยากแค้นของประชาชนผู้ประสบเหตุที่โฆษณาข้างต้นนี้ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์
พึงมี คือ สิทธิในอาหาร สุขภาพ และที่อยู่อาศัย มาตรฐานการครองชีพอย่างพอเพียง หากแต่ต้องสูญเสียไปใน
ช่วงเวลาเกิดสงครามนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีกวีนิพนธ์ “ศีลธรรมหลังสงคราม” ของ ผ.จันทร์ทอง ซึ่งเป็นหนึ่งในกวีที่แต่งบทกวีลง
พิมพ์ในวารสารเอกชน ก็ได้กล่าวถึงการไร้ศีลธรรมของคนในช่วงหลังสงคราม ดังในบทที่ว่า
หลังสงครามนี้ทําไมจิตตใจคน จึงมืดมนเห็นผิดว่าคิดดี
แม้ไม่ช่วยกันขจัดสลัดกิเลส ทั้งประเทศเหลือแต่กากเหมือนซากผี
ชีวิตหลังสงครามทรามสิ้นดี เพราะไม่มีศีลธรรมประจําใจ
(ผ.จันทร์ทอง อ้างถึงใน อวยพร มิลินทางกูร, 2519: 119)
นอกจากที่ได้กล่าวไปแล้ว จะพบว่ามีกวีนิพนธ์สมัยใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่มีเนื้อหาที่นอกจากจะสะท้อน
ภาพความยากลําบากเดือดร้อน วิพากษ์ภาวะการไร้ศีลธรรมของมนุษย์ ตลอดจนเล่าเรื่องราวและเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นเนื่องจากภาวะสงครามในครั้งนั้นแล้ว ยังกล่าวถึงสันติภาพ-สันติสุข โดยที่กวีผู้แต่งจะเน้นคําว่า
“สันติภาพ” เป็นหลัก โดยจะชี้ให้ผู้อ่านเห็นคุณค่าของความสงบ เพื่อกันไม่ให้เกิดสงครามครั้งต่อไป ซึ่งนับได้
ว่าเป็นการหาทางออกของกวีต่อเหตุการณ์สงครามในคราวนั้น เช่นใน “ศานติพิชิตมิตรรัก” ของทวีปวร ที่ว่า
ศานติ ! ศานติ ! จิรพจน์ ปรากฏประกาศแก่หล้า
เสียงหนุนซ้องสนั่นลั่นมา ศานติสิพาสถาพร
ทั่วโลกเทิดล้ํานําจิต ชีวิตห่างไกลภัยหลอน
ทั่วโลกเทิดล้ํากําจร สงครามลามร้อนโรยไป
ศานติสิมนุษย์สุดหวัง รวมพลังก่อเกื้อเพื่อให้
โลกสุขแล้งเศร้าเร้าใจ ศานติสิหทัยใฝ่ปอง
(ทวีปวร, 2539: 67-69)
ทวีปวรใช้กวีนิพนธ์เป็นกระบอกเสียงเพื่อแสดงความรู้สึกของตน โดยกล่าวแทนมวลมนุษย์ในโลก ผู้ซึ่ง
มีใจหวังให้เกิดสันติสุขขึ้นในไม่ช้า สันติภาพเป็นจุดหมายของการหลุดพ้นจากภาวะแห่งความทุกข์ทนซึ่งเกิด
จากสงคราม กวีหวังให้เกิดสันติภาพ เพราะสันติภาพเท่านั้นที่จะทําให้โลกที่วุ่นวายสงบสุขขึ้นมาได้
ส่วนอุชเชนี ซึ่งเป็นกวีที่มีงานเขียนเกี่ยวกับสงครามมากกว่ากวีท่านอื่น ก็กล่าวถึงแนวคิดเรื่อง
สันติภาพไว้ในกวีนิพนธ์ หลายบทด้วยกัน ได้แก่ “ศานติสิยอดบูชา” ซึ่งกล่าวไว้ว่า