Page 182 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 182

วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา   181



                     ให้ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ยารักษาโรค แป้ง (ทําขนม) น้ําตาล ด้ายเย็บผ้า หรือรองเท้า เป็นต้น ด้วยเหตุ
                     นี้จึงเกิดพ่อค้าที่กักตุนสินค้าประเภทนี้ไว้แล้วโก่งราคาให้สูงขึ้น จนตนได้เป็น “เศรษฐีสงคราม” ซึ่งรวยจาก

                     การค้าในช่วงหลังสงคราม นอกจากนี้ในบทกวีข้างต้นยังกล่าวถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวง (ของข้าราชการ) ที่ใช้
                     หน้าที่ของตนกอบโกยประโยชน์ในขณะที่สังคมและประเทศชาติกําลังเดือดร้อนอีกด้วย

                            นอกจากนี้ยังพบว่ามีกวีนิพนธ์ที่กล่าวถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวง ด้วยการกล่าวบริภาษ ประณาม และ

                     สาปแช่งผู้ฉวยโอกาสจากสงครามด้วย เช่นในกวีนิพนธ์ “พิษฐาน” ของเจ้าหญิงจันทิมา ซึ่งเป็นกวีกลุ่มเอกชน
                     เช่นเดียวกับหยาดฝน  ลักษณะของการอธิษฐานที่เจ้าหญิงจันทิมาเลือกใช้เป็นกลวิธีในการนําเสนอนั้น โดย
                     ปกติจะเป็นการขอพรและสิ่งดีๆ ให้บังเกิดขึ้น หากแต่เจ้าหญิงจันทิมานํามาใช้ในทางกลับกัน เพราะใช้ในการ

                     สาปแช่งผู้คนที่เอารัดเอาเปรียบคนผู้ตกทุกข์ได้ยากจากเหตุการณ์สงครามนั่นเอง เช่นในบทตัดตอนที่กล่าวไว้ว่า

                                          ขออย่ามีที่คนพาลสันดานหยาบ   มาก่อบาปกรรมเชือดเนื้อเลือดไหล

                                   พวกขายชาติขาดสิ้นจากดินไทย          พวกจิตต์ใจทรยศจงหมดตัว
                                   พวกโกงคลังบังหลวงหลอกลวงราษฎร์      ให้พินาศอับเฉาหมดเงาหัว
                                   พวกถือเพศเผด็จการสามานย์มัว         พวกทําชั่วโดยอํานาจของราชการ   [...]

                                   พวกกักกันสรรพสินค้าพวกหน้าเลือด     คอยเฉือนเชือดค้าขายโหดร้ายเหลือ
                                   พวกสัปปลับอัปรีย์มีเหลือเฟือ        พวกเหยียบเรือสองแคมแถมสอพลอ
                                                             (เจ้าหญิงจันทิมา อ้างถึงใน อวยพร มิลินทางกูร, 2519: 115)

                            จะเห็นได้ว่าบทกวีนิพนธ์ทั้ง 2 บทข้างต้น แสดงให้เห็นสภาพโดยรวมในวงการเศรษฐกิจและสังคม

                     ตลอดจนความเป็นไปของวงราชการของไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งนี้เป็นอย่างดี การที่ประชาชนต้องพบ
                     กับภาวะเลวร้ายเช่นนี้ คําและความที่หยาดฝนและเจ้าหญิงจันทิมากล่าวนั้นถือเป็นอีกเสียงสะท้อนหนึ่งที่กวี

                     เลือกใช้กวีนิพนธ์เป็นปากเสียงแทนผู้ประสบภัย แทนผู้ถูกล่วงละเมิดสิทธิเพราะพิษสงครามโลกครั้งที่ 2
                     นั่นเอง


                            นอกจากนี้มีกวีร่วมสมัยบางคนในกลุ่มเอกชนที่ได้กล่าวถึงการขาดศีลธรรมของประชาชนทั่วไป และ
                     พูดถึงคติความเชื่อในทางศาสนาพราหมณ์ ในเรื่องของจตุรยุค ว่าในขณะนั้นคงเป็นช่วงสมัยกลียุค ซึ่งเป็นยุคที่
                     มีแต่ความย่อยยับ พินาศ อับจนและมีแต่สิ่งร้าย ในยุคนี้ธรรมะของมนุษย์จะลดลงเหลือเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น

                     เช่นที่ใน “ทางสันติในทัศนะหนึ่ง” ของโฆษณา ที่ลงในวารสารเอกชนว่า

                                          สงครามเสร็จเด็ดขาดอนาถหนอ    ทุกชาติก็จนยากลําบากนัก
                                   คนนับล้านบ้านที่ไม่มีพัก            เสื้อผ้าจักพันกายแทบไม่มี

                                   โภชนาอาหารกันดารสุด                 ต้องม้วยมุดวอดวายกลายเป็นผี
                                   บังเกิดโจรโสณจิตต์ขึ้นผิดที         ประชาชีชอกช้ําระกําใจ
   177   178   179   180   181   182   183   184   185   186   187