Page 156 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 156

วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา   155



                     อื่นเสมอ ไม่ได้เกิดขึ้นหรือมีอยู่ลอยๆ ตัดขาดออกจากค่านิยมและมุมมองของสังคม) ด้วยโทษทัณฑ์ที่เด็ดขาด
                     เบ็ดเสร็จและไม่สามารถเรียกชีวิตกลับคืนได้   ในแง่นี้การโต้แย้งเรื่องการคงไว้หรือยกเลิกโทษประหารชีวิต

                     จึงเป็นการโต้แย้งระหว่างผู้ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนควรจะได้รับโอกาสกับผู้ที่เชื่อว่าไม่มีโอกาสเหลืออีกต่อไปแล้ว
                     สําหรับฆาตรกร (Camus, 1979 [1957]: 158)

                            กามูส์ยังกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า  การตัดสินจบชีวิตคนๆ หนึ่งนั้นหมายถึงการมองว่าเขาไม่มีทางจะแก้
                     ตัวได้ แต่จะมีใครเล่าที่จะมีสิทธิ์ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่น นอกเสียจากว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
                                                                                      56
                     ไร้ที่ติ “หากปราศจากความบริสุทธิ์แบบสัมบูรณ์ก็ไม่อาจมีผู้พิพากษาโทษสูงสุดได้”   และนี่คือการเคารพ
                     “สิทธิของการมีชีวิต”  ของผู้อื่นเพราะ “สิทธิของการมีชีวิตที่มาคู่กับโอกาสในการแก้ตัวนี้เป็นสิทธิทาง

                     ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน และก็เป็นสิทธิที่เลวร้ายที่สุดด้วยเช่นกัน อาชญากรที่เลวที่สุดกับผู้พิพากษาที่มี
                     คุณธรรมที่สุดจึงยืนอยู่เคียงข้างกันอย่างเท่าเทียม ณ ที่นี่ [เบื้องหน้าสิทธิของการมีชีวิต]  ทั้งคู่ร่วมชะตากรรม
                     ในความทุกข์ยากและในความสมัครสมานสามัคคีอย่างเท่าเทียมกัน  หากปราศจากสิทธินี้ชีวิตทางศีลธรรมก็

                                   57
                     ไม่มีทางเกิดขึ้นได้”

                            เราจะเห็นว่าหลังจากที่กามูส์ได้ชี้ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วโทษประหารชีวิตนั้นคืออะไร เขาได้นําผู้อ่าน

                     มาสู่ข้อสรุปที่ว่า คําสนับสนุนโทษประหารชีวิตที่มักจะถูกนํามาอ้างกันในสังคมฝรั่งเศสร่วมสมัยนั้นไร้เหตุผล
                     ไร้ฐานทางหลักวิชาและขัดแย้งกับประเด็นทางศีลธรรมอย่างไม่อาจจะประสานกันได้


                            แต่เหตผุลเดียวที่สร้างความชอบธรรมให้กับโทษประหารชีวิตจําเป็นจะต้องใช้คําอธิบายในเชิง

                     ประวัติศาสตร์ของการเกิดโทษประหารชีวิตซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อของศริสต์ศาสนา กล่าวคือในสมัย
                                                                58
                     สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น โทษนี้คือ “โทษทางศาสนา”   ในนามของกษัตริย์ซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าบน
                     โลกมนุษย์  แม้โทษประหารชีวิตจะจบชีวิตของอาชญากรบนโลกมนุษย์ แต่โอกาสในการแก้ตัวของเขานั้นมิได้
                                                                                59
                     ถูกทําให้หมดสิ้นไปเพราะ “คําพิพากษาที่แท้จริงนั้นยังไม่ได้ถูกเปล่งออกมา”   ดังนั้น “คุณค่าทางศาสนา
                     โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องชีวิตอมตะหลังความตายนั้นเป็นสิ่งที่เดียวที่สามารถเป็นฐานรองรับให้กับโทษสูงสุด

                     นี้ได้ เพราะตรรกะเชิงศาสนานี้เองที่ขัดขวางไม่ให้โทษประหารชีวิตกลายเป็นโทษสุดท้ายและกลายเป็นโทษ





                            56  “Sans innocence absolue, il n’est point de juge suprême.” (Camus, 1979 [1957]: 159).

                            57  “Le dernier des criminels et le plus intègre des juges s’y retrouvent côte à côte, également
                     misérables et solidaires. Sans ce droit, la vie morale est strictement impossible.” (Camus, 1979 [1957]:
                     159).
                            58  “une peine religieuse” (Camus, 1979 [1957]: 161).
                            59  “Le jugement réel  n’est pas prononcé” (Camus, 1979 [1957]: 161).
   151   152   153   154   155   156   157   158   159   160   161