Page 117 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 117

116      แดศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน


                       จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นค่านิยมของสังคมว่าผู้หญิงต้องพึ่งพาผู้ชาย ฝ่ายชายสามารถกําหนด
                ชะตาชีวิตของฝ่ายหญิงได้ โดยตัดสินใจว่าจะเลี้ยงดูผู้หญิงไว้หรือไม่ ดังนั้นสถานภาพของผู้หญิงจึงตกเป็นรอง

                ผู้ชายอยู่มาก และยังถูกฝ่ายชายที่มีอํานาจเหนือกว่ากระทําอยู่ตลอด

                       คําประพันธ์อีกตอนหนึ่งที่ผู้ชายใช้ถ้อยคํากดผู้หญิงให้เป็นเพศที่ต่ํากว่าตน เพราะมาทะเลาะตบตีกัน
                เพื่อแย่งชิงผู้ชาย ดังนี้

                               นางพี่น้องสองคนก็ล้นเหลือ           บ้าโลหิตขวิดเฝือเหมือนมหิงส์
                       นางวิมาลาเล่าก็เพราพริ้ง                    น้อยหรือนั่นท่านผู้หญิงทั้งสามคน

                       เจ้าคารี้สีคารมไม่สมหน้า                    เหมือนอีแม่ค้าปลาที่หัวถนน
                       ขึ้นเสียงเถียงทะเลาะลนลน                    จะกรวดน้ําคว่ําคะนนเสียเดี๋ยวนี้
                       จะเขียนหนังสือหย่าสักห้าใบ                  ขีดแกงไดให้ดูอย่าจู้จี้

                       ทําประหนึ่งขึ้งโกรธเต็มที                   เดินหนีออกไปเสียให้พ้น
                                                             (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย, 2545: 324)

                       แสดงให้เห็นว่าแม้แต่คําพูดของผู้ชายก็กดขี่ผู้หญิงอยู่ตลอดเวลา ไกรทองด่าผู้หญิงว่าเป็นแม่ค้าปลา
                แสดงว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ไร้มารยาท กุสุมา รักษมณี (2547: 151-152) กล่าวถึงคําว่า “แม่ค้าปลา” ที่ไกรทอง

                ใช้ด่าผู้หญิงทั้งสามคนไว้ว่า คําว่า “แม่ค้า” นอกจากจะหมายถึงหญิงที่ทําการค้าขายแล้วยังแฝงความหมายว่า
                เป็นคนช่างพูดช่างนินทาด้วย ปลาที่ขายนั้นเป็นของสดของคาว เห็นจะเพิ่มความหมายให้กับความช่างพูดช่าง

                นินทาไปในทางลบอีกด้วย ที่ว่าขายปลาอยู่ที่หัวถนนนั้นก็น่าจะหมายถึงเป็นที่สาธารณะ เป็นตลาดกลางแจ้งที่
                มีผู้คนสัญจนไปมาคับคั่ง เรื่องที่จะ “เม้า” จึงมีมากขึ้น


                       นอกจากนี้การที่ไกรทองขู่ว่าจะเขียนใบหย่าก็เท่ากับสะท้อนว่าผู้หญิงตกเป็นรองผู้ชายเพราะผู้ชาย
                กล้าที่จะนําใบหย่ามาต่อรองกับการตัดสินใจของผู้หญิง และการที่ผู้หญิงตบตีกันเพื่อแย่งชิงผู้ชายมาเป็นของ
                ตนนั้นก็ยิ่งตอกย้ําว่าผู้หญิงยอมรับสถานภาพของตนในฐานะ “เมีย” ที่ต้องพึ่งพา “ผัว” อยู่เสมอ ซึ่งแสดงให้

                เห็นถึงระบบชายเป็นใหญ่ที่สร้างทั้งความรุนแรงทางตรง และความรุนแรงเชิงโครงสร้าง โดยมีความรุนแรงเชิง
                วัฒนธรรมรองรับอีกต่อหนึ่ง


                       เศรษฐีเมืองพิจิตร บิดาของนางตะเภาแก้วและนางตะเภาทอง เป็นอีกคนหนึ่งที่เน้นย้ําความรุนแรง
                ผ่านระบบชายเป็นใหญ่ในสังคมไทย เห็นได้จากตอนที่เศรษฐีประกาศยกตะเภาแก้วให้แก่ผู้ที่สามารถปราบ
                ชาลวันได้สําเร็จ โดยมิได้ปรึกษาบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย แสดงว่าเศรษฐียกมองว่าบุตรสาวเป็นสมบัติของตนที่

                จะยกให้ใครก็ได้ และยังตัดสินใจยกทั้งตะเภาทองและตะเภาแก้วให้แก่ไกรทอง โดยมิได้ถามความคิดเห็นของ
                ตะเภาทองแม้แต่น้อย
   112   113   114   115   116   117   118   119   120   121   122