Page 50 - ภาษาเพศในสังคมไทย : อำนาจ สิทธิและสุขภาวะทางเพศ
P. 50
สวนที่ 1 เพศภาวะ: ขุนแผน 33
วันทอง, โมรา, กากี เปนชื่อนางในวรรณคดีไทย 3 เรื่อง คือ ขุนชาง-
ขุนแผน จันทโครบ และกากี ซึ่งแตละคนลวนมีสามีมากกวาหนึ่งคนทั้งสิ้น โดย
9
ผูแตงวรรณคดีเหลานี้ (ซึ่งเปนผูชายทั้งหมด ) ไดสะทอนใหเห็นวา นอกเหนือจาก
คําตําหนิติเตียน ประณามหยามเหยียดที่ผูหญิงไดรับเมื่อพวกเธอละเมิดบรรทัดฐาน
ทางสังคมในเรื่องเพศแลว พวกเธอยังจะตองถูกลงโทษอยางรุนแรงอีกดวย เชน
นางวันทองถูกตัดสินประหารชีวิต นางโมราถูกสาปใหกลายเปนชะนี และนางกากี
ถูกนําไปลอยแพกลางมหาสมุทร ไมเพียงเทานั้นชื่อของทั้งนางในวรรณคดีทั้งสาม
คนนี้ไดกลายมาเปนสัญลักษณของ “ผูหญิงไมดี” ที่สมควรไดรับการตําหนิ
ติเตียนอยางรุนแรง ทั้งยังเปนที่มาของสํานวนซึ่งเปนที่รูกันวาเปนสํานวนที่ใชกลาว
ประณามและตีตราผูหญิงวา “วันทองสองใจ” หรือ “เปนอยางนางกากี” เปนตน
ในยุคสมัยปจจุบันที่ผูหญิงมีสิทธิเทาเทียมกับผูชายมากขึ้น แมวาผูหญิง
ไทยจะไมสามารถพาตนเองใหหลุดพนจากความคาดหวังในกรอบเรื่องเพศใน
แบบเดิมๆ ได แตการที่ผูหญิงมีโอกาสไดรับการศึกษามากขึ้น พึ่งพาตนเองได
มากขึ้น บวกกับอิทธิพลของสื่อในยุคการสื่อสารไรพรมแดน ทั้งหมดนี้สงผลให
ผูหญิงเปดรับแนวคิดในเรื่องเพศแบบเสรีมากขึ้น ซึ่งก็ทําใหผูหญิงยุคใหม
กลาทาทายและตอรองในเรื่องเพศ โดยมองวาผูหญิงเองก็มีสิทธิจะดําเนินชีวิต
ทางเพศตามแบบที่ตนเองตองการไดไมตางจากผูชาย ตราบเทาที่ผูหญิงยังไม
แตงงาน สังคมอาจเปดชองใหผูหญิงมีสิทธิเลือกคบ หรือเปลี่ยนแฟนได
มากกวาในสมัยกอน เห็นไดจากกรณีดาราผูหญิงหลายคนที่สื่อมวลชนพากัน
ตั้งฉายาวาเปน “คาสโนวี่” หรือเปน “คาสโนวา” ในภาคผูหญิง เพราะพัวพัน
กับขาวรักๆ เลิกๆ หลายครั้ง แตสวนใหญแลวผูที่ไดรับฉายานี้ก็ดูจะไมปลื้ม
กับฉายาที่ไดรับสักเทาไร เพราะถึงอยางไรตนเองก็ไมตองการถูกจับจอง และ
ตัดสินวามีพฤติกรรมทางเพศภาวะ เพศวิถีออกไปจากกรอบที่สังคมกําหนด
จะเห็นไดวาเรื่องของ “ความเจาชู” เปนเรื่องที่เกี่ยวของกับการใหคุณคา
ทางเพศภาวะที่แตกตางและไมเทาเทียมอยางยิ่ง สิ่งเหลานี้ไมเพียงมีผลตอวิถีชีวิต
9 เรื่องขุนชางชุนแผน มีหลายสํานวน แตเชื่อกันวาหนังสือเสภาเรื่องขุนชางขุนแผนฉบับที่ปรากฏใน
ปจจุบัน แตงในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกลา
เจาอยูหัว เรื่องจันทโครบเปนวรรณกรรมกลอนพื้นบานแตงโดยสุนทร (ภู) และเรื่องกากี แตงโดย
เจาพระยาพระคลัง (หน).
สุไลพร ชลวิไล