Page 402 - รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาวิจัยเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะนโยบายหรือมาตรการเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของผู้สูงอายุ: กรณีการเลือกปฏิบัติในผู้สูงอายุ
P. 402
344 | รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ (Final Report)
พ.ศ. 2561 นโยบายเร่งด่วน ข้อ 4.1.5 “เร่งรัดให้มีการก าหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ ารายชั่วโมงเพื่อส่งเสริมให้มี
การจ้างงานผู้สูงอายุมากขึ้น ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่คณะกรรมการค่าจ้างได้ประชุมเมื่อวันที่ 29 เมษายน
2553 และมีความเห็นว่าเนื่องจากสภาพสังคมไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นการก าหนดอัตราค่าจ้างราย
ชั่วโมงจึงไม่ควรจ ากัดแต่กลุ่มนักเรียน นิสิตและนักศึกษาเท่านั้น แต่ควรเปิดกว้างไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุด้วย
ผู้สูงอายุในกลุ่มที่ 1 ซึ่งมีอายุระหว่าง 60 – 69 ปี ควรได้รับการส่งเสริมให้มีโอกาสได้ท างานต่อไปทั้ง
ในที่ท างานเดิม โดยนายจ้างควรเปิดให้ลูกจ้างเลือกว่าจะท างานต่อไปหรือไม่ รวมทั้งควรเปิดรับลูกจ้างใหม่ที่
สูงอายุในช่วงอายุดังกล่าวด้วย เนื่องจากผู้สูงอายุของไทยมีอายุคาดหมายเฉลี่ย (Average Life Expectancy)
เพิ่มขึ้น จึงควรส่งเสริมให้คนกลุ่มนี้ยังคงท างานและให้ออมด้วยตนเองต่อไป ซึ่งการเพิ่มระยะเวลาการมีงานท า
จะเพิ่มระยะเวลาการออมไปด้วย จะช่วยให้สมาชิกได้รับรายได้หลังเกษียณที่สูงขึ้น สามารถเลี้ยงดูตนเองได้
อย่างมีศักดิ์ศรีในวัยชรา และไม่ต้องตกเป็นภาระของสังคมหรือของรัฐบาลในอนาคต ในการจ้างงานผู้สูงอายุ
นั้นต้องพิจารณาถึงผลิตภาพ (Productivity) ของผู้สูงอายุที่ต้องการท างานต่อไป ซึ่งในปัจจุบันได้มีการร่าง
กฎหมายการจ้างงานผู้สูงอายุ และนโยบายของรัฐในการขยายอายุเกษียณ จาก 60 ปี เป็น 65 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่
กับความพร้อมของผู้สูงอายุด้วย
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจในด้านมีรายได้เพื่อด ารงชีวิตนั้น ผู้สูงอายุในชนบท ยังต้องการท างานเพื่อหา
รายได้ เนื่องจากบุตรหลานได้ย้ายออกจากครอบครัวเพื่อไปหางานท านอกพื้นที่ ในชนบท ผู้สูงอายุ เคยเป็น
หลักในการสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัว ดังนั้น เมื่อสูงอายุ ก็ยังต้องการท างาน เพื่อคงศักดิ์ศรีของการเป็น
เสาหลักทางเศรษฐกิจของครอบครัว และบุตรหลานได้ย้ายออกจากครอบครัว เพื่อไปท างานนอกพื้นที่
ผู้สูงอายุในชนบท จะมีรายได้จาก 2 แหล่งใหญ่ คือ จากสวัสดิการรัฐ คือ เบี้ยยังชีพ และการท างานนอกระบบ
ตามก าลังความสามารถ ซึ่งมักจะเป็นงานหัตถกรรม ไม่ใช่งานเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ (ถ้ามีการท าเกษตร ก็จะ
เป็นเกษตรผสมผสาน) เป็นรายได้แบบพอเพียง มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง ข้อดีของผู้สูงอายุที่อยู่ในชนบท คือ
ยังมีการเกื้อกูลกันจากเครือญาติและเพื่อนบ้านมาช่วยดูแล จึงเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะ
“เพียงพอตามอัตภาพ” แต่มีความภาคภูมิใจ มีศักดิ์ศรีในการด ารงชีวิต ส าหรับผู้สูงอายุในเมือง มีความยากล า
บาในการด ารงชีวิต เนื่องจากลูกหลานต้องท างาน ขาดคนดูแล เพื่อนบ้านก็ไม่รู้จักกัน ในขณะเดียวกันผู้สูงอายุ
ในเมือง ยังต้องดูแลสมาชิกในครอบครัว คือ ลูกหลานที่พ่อแม่ต้องไปท างานนอกบ้าน ผู้สูงอายุในเมือง เมื่อต้อง
ท างาน ก็มักจะท าในด้าน ท าอาหาร ท าขนม ขายหารายได้ และท างานด้านจิตอาสารวมตัวเป็นกลุ่มในการท า
กิจกรรมด้านพัฒนาชุมชน
ทั้งนี้รัฐควรจะด าเนินการด้านสวัสดิการผู้สูงอายุแบบถาวรหรือยั่งยืน (เช่น กรณีของ Australia) ไม่ใช่
แบบประชานิยม โดยจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือหรือมีฐานะยากจน โดยมีเกณฑ์ใน
การคัดเลือกคุณสมบัติ ไม่ใช่แบบ “ทั่วหน้าทุกคน” เกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าว อาจจะเป็น “การไม่มีที่อยู่อาศัย”
หรือ การมีรายได้ต่ ากว่าเส้นความยากจนของประเทศ เป็นสวัสดิการที่ใช้ชื่อว่า “สวัสดิการบ านาญ
(Pensions)” ดีกว่า “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” และควรท าหน้าที่เป็น Facilitator ให้แก่ผู้สูงอายุในการส่งเสริม
สุขภาพทีดี เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความแข็งแรงในการท างานต่อไป