Page 140 - รายงานผลการศึกษาวิจัยเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะ มาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (ฉบับสมบูรณ์)
P. 140
รายงานผลการศึกษาวิจัยเพื่อจัดท าข้อเสนอแนะ มาตรการ หรือแนวทางในการส่งเสริมและ
คุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ทางการ (informal tenure) เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงเช่นเดียวกับสิทธิครอบครอง ซึ่งอาจมีหรือ
ไม่มีการรองรับโดยกฎหมายก็ได้ ดังนั้น เมื่อมีการเข้าถือครองหรือเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ
จึงอาจเป็นกรณีที่มีกฎหมายรองรับหรือไม่มีกฎหมายรองรับ แต่มีการรองรับโดยผู้มีอ านาจตามกฎหมาย
หรือไม่มีการรองรับใดๆ เลยก็ได้ ดังนั้น แม้ประชาชนจะมีการถือครองท าประโยชน์ได้ตามความเป็นจริง แต่ไม่
สามารถออกเอกสารสิทธิในที่ดินของรัฐตามกฎหมายได้ ส่งผลให้ประชาชนผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินขาดความ
มั่นคงในการถือครอง ไม่อาจทราบได้ว่าตนเองจะมีสิทธิในที่ดินต่อไปอีกนานเพียงใด การวางแผนการใช้ที่ดิน
ของประชาชนกลุ่มนี้จึงเป็นไปในระยะที่สั้นที่สุดเพื่อลดความเสียหายจากการลงทุนท าประโยชน์ในที่ดิน
(2) ขาดประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพื่อการสาธารณะ
สร้างความล าบากในการก าหนดนโยบายที่ดินให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ
การเข้าถือครองที่ดินของรัฐอย่างไม่เป็นทางการนั้น มิได้มีแต่ผลกระทบต่อความไม่แน่นอนชัดเจนใน
สิทธิของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางให้ประชาชนผู้มิได้ยากไร้สามารถแสวงประโยชน์จากการใช้ทรัพยากร
รัฐเกินจากสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรคุ้มครอง เกิดการออกเอกสารสิทธิหรือให้เช่าโดยมิชอบด้วยกฎหมาย มีการ
ถือครองหลายประเภทซ้ าซ้อนอยู่ในที่ดินของรัฐ อันเนื่องมาจากการขาดกลไกการติดตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ที่สงวนหวงห้ามโดยรัฐ ท าให้ผู้ก าหนดนโยบายไม่สามารถก าหนดทิศทางการใช้ประโยชน์ที่ดินในระยะยาวได้
ดังนั้น รัฐจะต้องมีมาตรการที่ชัดเจนในการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความ
มั่นคงในการถือครองที่ดินของประชาชนให้สามารถใช้ประโยชนในที่ดินอย่างยั่งยืน และเพื่อความโปร่งใส
ในการใช้ที่ดินของหน่วยงานรัฐเอง ให้สามารถก าหนดทิศทางในการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืนเช่นกัน
4.3 การก าหนดนโยบายแบบรวมศูนย์อ านาจ โดยขาดข้อมูลและการมีส่วนร่วม
ประเทศไทยมีฐานคิดนโยบายแบบรวมศูนย์อ านาจการจัดการไว้ที่ส่วนกลาง (centralisation) การ
ก าหนดนโยบายหรือการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและป่าไม้จึงมีลักษณะเป็นรูปแบบเดียวบังคับกับ
ทุกคน (one size fit all) มีลักษณะเป็นการสั่งการและควบคุม (command and control) และผูกขาดการ
บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติไว้ที่รัฐแต่ผู้เดียว ทั้งที่ในความเป็นจริงที่ดินแต่ละพื้นที่มีศักยภาพการใช้
ประโยชน์ที่แตกต่างกัน ชุมชนและประชาชนในแต่ละพื้นที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน จึงท าให้การจัดการโดยรัฐ
ผ่านนโยบายและกฎหมายไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ศักยภาพที่ดิน และวิถีชีวิตของประชาชน ประกอบกับ
การขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียหรือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ท าให้รัฐขาดข้อมูลที่รอบด้านในเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการก าหนดรูปแบบการถือครอง หรือการให้นิยามการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ล้วนเป็นผลผลิตจาก
แนวคิดแบบรวมศูนย์อ านาจ
แนวคิดการถือครองที่ดินหรือความเป็นเจ้าของ (ownership) แบบสังคมเมืองนั้น แตกต่างจาก
แนวคิดการถือครองในชนบท เนื่องจากมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีลักษณะการใช้ประโยชน์หรือ
ครอบครองที่ดินที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง ผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินในเมืองจะปลูกบ้านและอยู่อาศัยในที่ดินตลอดปี
4-6 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย