Page 69 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2561
P. 69
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๖๑
ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษจะด�าเนินการเร่งรัดสืบสวน
รวมทั้งพิจารณาก�าหนดหลักเกณฑ์หรือแนวปฏิบัติ สอบสวนเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยไม่มีกรอบระยะ
ต่อทหารที่กระท�าความผิดโดยค�านึงถึงศักดิ์ศรี เวลาของการท�างาน และจะอาศัยข้อมูลที่เคยรวบรวมได้
ความเป็นมนุษย์ ก�าหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยา ก่อนหน้านี้เป็นแนวทางในการท�าคดีต่อไป ส�าหรับการรับ
๖๘
ผู้เสียหายและครอบครัว และก�าหนดแนวทางป้องกัน เรื่องร้องเรียนของ กสม. ในปี ๒๕๖๑ พบว่า ยังไม่มี
ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ต่อไป การร้องเรียนเกี่ยวกับการบังคับให้สูบหาย
๖๕
ในส่วนการบังคับให้สูญหาย แม้ที่ผ่านมาคณะท�างาน การประเมินสถานการณ์ ปัญหาและอุปสรรค
ของสหประชาชาติว่าด้วยการบังคับให้บุคคลสูญหาย คณะรัฐมนตรี และกระทรวงยุติธรรมมีความพยายาม
หรือโดยไม่สมัครใจได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีบุคคล อย่างต่อเนื่องในการเสนอร่างพระราชบัญญัติป้องกันและ
ถูกบังคับให้สูญหายในประเทศไทยที่ยังไม่ได้รับ ปราบปรามการทรมานและการกระท�าให้บุคคลสูญหายฯ
การคลี่คลายอยู่ถึง ๘๒ กรณี แต่การด�าเนินการของรัฐ สร้างกลไกในการรับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบ และป้องกัน
๖๖
เพื่อติดตามช่วยเหลือผู้ถูกกระท�าให้สูญหาย รวมถึง การกระท�าทรมานและการบังคับให้สูญหาย รวมถึงมีกรณี
การน�าตัวผู้กระท�าผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมยังค่อนข้าง การบังคับสูญหายที่หน่วยงานที่เป็นกลางรับไว้ด�าเนินการ
ล่าช้า กรณีตัวอย่างที่ส�าคัญนอกจากการบังคับสูญหาย อันเป็นการสอดคล้องกับข้อเสนอแนะที่ได้รับจากประเทศ
ของทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่ครอบครัวใช้ระยะ ต่าง ๆ และค�ามั่นโดยสมัครใจของประเทศไทยภายใต้
เวลาในการต่อสู้คดีมาอย่างยาวนานและพบข้อจ�ากัด กลไก UPR รอบที่ ๒ และข้อสังเกตของคณะกรรมการ
ทางกฎหมายในการพิสูจน์ความจริงรวมถึงการขอเข้าเป็น ประจ�ากติกา ICCPR ต่อรายงานการปฏิบัติตามกติกาฯ
โจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการแล้ว ยังมีการบังคับสูญหายอีก ฉบับที่สองของประเทศไทย เมื่อปี ๒๕๖๐ กล่าวคือ
กรณีที่ส�าคัญ คือ กรณีหายตัวของนายพอละจี รักจงเจริญ
(บิลลี่) เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ ที่เชื่อมโยงกับการ
ควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้ต่อมาภรรยาของ
นายพอละจีได้ร้องขอต่อศาลให้ไต่สวนความชอบด้วย
กฎหมายของการควบคุมตัวดังกล่าว แต่ในชั้นพิจารณา
ของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า
นายพอละจีมีชะตากรรมอย่างไร กระทั่งในปี ๒๕๕๘
ศาลฎีกาได้มีค�าพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์และ
ศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องคดีเนื่องจากไม่มีพยานหลักฐาน
ที่น่าเชื่อถือที่จะเอาผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่อมาเมื่อวันที่
๖๗
๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ กรณีนี้มีความคืบหน้าในเชิงบวก
มากขึ้นเมื่อการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ
ในกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑
เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ มีมติให้รับคดี
การหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ เป็นคดีพิเศษ
๖๕ จาก ข่าวประชาสัมพันธ์ กสม. ชี้การลงโทษโดยการซ้อมทรมานพลทหารจนได้รับบาดเจ็บ – เสียชีวิต ถือเป็นการละเมิดสิทธิฯ แนะกองทัพบก วางระเบียบการปฏิบัติต่อ
ทหารตามหลักสิทธิมนุษยชนและให้ใช้บังคับทั่วประเทศ, โดย ส�านักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, ๒๕๖๑. สืบค้นจาก http://www.nhrc.or.th/NHRCT-Work/
Statements-Press-Releases-Open-Letters/Press-Releases/กสม-ชี้การลงโทษโดยการซ้อมทรมานพลทหารจนได้รับบาดเจ็บ.aspx
๖๖ จาก ยูเอ็นยินดีไทยลงนามสัตยาบัน ให้การอุ้ม-ทรมานเป็นความผิด เผย มี 82 กรณีค้างอยู่, โดย มติชนออนไลน์, ๒๕๕๙. สืบค้นจาก https://www.matichon.co.th/politics/
news_149089
๖๗ จาก 2 ปี การหายตัวไปของบิลลี่ กับสถานการณ์การอุ้มหายในไทย, โดย ส�านักข่าวอิศรา, ๒๕๕๙. สืบค้นจาก https://www.isranews.org/isranews-scoop/46288-artical_
462883.html
๖๘ จาก ดีเอสไอ รับคดีบิลลี่หายเป็นคดีพิเศษ, โดย ประชาไท, ๒๕๖๑. สืบค้นจาก https://prachatai.com/journal/2018/06/77607
68